เที่ยวแบบกรู >> พาลูกไปเที่ยวดอยสะโง้ ชมวิว 360 องศา ชมวิวงามๆ 3 ประเทศ พม่า ไทย ลาว ที่เราอยากจะเล่าให้ฟังค่ะ
ดอยสะโง้ รู้จักกันมั้ย?
เราเพิ่งจะรู้จักปลายปีที่แล้วเองนะ เห็นรูปกระท่อมหลังน้อยบนเขาแล้วต่อมอยากเที่ยวก็เกิดขึ้น ตอนแรกคิดว่าปีใหม่คนเยอะขอพักงดเดินทาง แต่คุณสามีก็โทรไปจองเล่นๆ
“แม่ๆ วันที่ 2 ว่างด้วย” เสียงตื่นเต้นประหนึ่งจองโปร 0 บาท ได้สำเร็จของสามี
“อือ แปลว่าต้องไปใช่มั้ย” เสียงที่ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไรของเราเนื่องจากยังรู้สึกเพลียร่างยังพังกับการเดินทางติดต่อกันหลายๆ ทริป
สรุปก็ไปแบบงงๆ เราขับรถ 12 ชั่วโมงเพื่อไปดูแสงแรกของปีที่ภูชี้ฟ้า และไปพักที่เชียงแสนสองคืน คืนแรกนอนที่จิน แม่น้ำโขง อันนี้ดีงาม ไว้จะมาเล่าให้ฟังค่ะ
ตัดภาพมาที่ ดอยสะโง้ ไม่สามารถเล่าเรื่องการเดินทางให้ฟังได้ เอาเป็นว่าเปิด GPS โลดไม่หลงแน่นอน รถเล็กแบบเราไม่สามารถขึ้นไปได้ต้องหาที่ฝากรถก่อนนะคะ ค้างคืน 50 บาท จะเห็นว่ามีรถจอดข้างทางกันเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นรถนักท่องเที่ยวขึ้นไปชมวิวไม่ได้ค้างคืนค่ะรถที่จะพาขึ้นไปบนดอยสะโง้ จะมีรถกระบะและรถอีแต๋นเลือกได้ว่าจะนั่งแบบไหน แต่รถอีแต๋นจะมีเยอะกว่าค่ะ
ค่าบริการ
– ขึ้นบนจุดชมวิว รอบละ 100 บาท พร้อมสัมภาระ ไม่เกิน 7 คน หารกันแล้วคนไม่สิบกว่าบาทเอง
– ลงจากจุดชมวิว รอบละ 100 บาท พร้อมสัมภาระ ไม่เกิน 7 คน หารกันแล้วก็คนไม่สิบกว่าบาทเอง
– ขี่มอเตอร์ไซค์ คนละ 20 บาท
เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะไปคันไหนก็ออกเดินทางได้ค่ะ
มาทำความรู้จักดอยสะโง้?
ดอยสะโง้ เป็นชื่อหมู่บ้าน เพี้ยนมาจากคำว่า สะโง๊ะ เป็นหมู่บ้านแรกของชนเผ่าอาข่าในประเทศไทย รัชกาลที่ 9 เคยเสด็จไปเยี่ยมเยือนราษฎร์ที่นี่ 4 ครั้ง โดยครั้งแรกในปี 2514 และครั้งสุดท้ายปี 2522 ตามคำบอกเล่าของผู้ดูแลที่นี่ค่ะ
ระยะทางจากจุดขึ้นรถไปบนดอยประมาณ 850 เมตร ซึ่งก็ไม่ได้ไกลมากเพียงแต่ทางไม่ค่อยดีโดยเฉพาะคืนก่อนที่เราไปนั้นฝนตกหนักด้วยค่ะ จะเห็นว่ามีนักท่องเที่ยวหลายคนเลือกที่จะเดินลงมา
ขึ้นไปถึงก็พบกับภาพนี้เลย เฮ้ยย! สวยจัง
เราไปถึงประมาณ เกือบๆ บ่าย 3 ฟ้ากำลังสวยเลยค่ะ
บ้านพักจะมีทั้งหมด 20 หลัง หลังเล็ก นอนได้ไม่เกิน 4 คน หลังละ 1,500 บาท บ้าน VIP 5 หลัง นอนได้ตั้งแต่ 8-20 คน มีห้องน้ำในตัว
เราไปถึงผู้ดูแลที่นี่บอกว่าเหลือบ้านว่าง 3 หลัง จะเลือกพักหลังไหนก็ได้แต่ละหลังไม่ได้ลงกลอนสามารถเปิดประตูไปก่อนได้ค่ะว่าชอบใจหลังไหน แต่เอาเข้าจริงด้านในก็เหมือนกันนะต่างกันแค่สีผ้าห่มเอง
เราเลือกพักหลังที่ 2 ลองเข้าไปนอนดูสิจะนอนได้มั้ยนะ ว่าไปสามคนก็กำลังดีเมลลี่จะได้มีพื้นที่ในการกลิ้งไปกลิ้งมา แต่! แล้วพ่อจะนอนไหนล่ะ ฮา สุดท้ายเพราะความหนาวเราก็ยัดกันนอนลงได้พอดี“บ้านของหนูอยู่บนดอย” เพลงก็มา แต่แม่ร้องได้แค่นี้แหละลูกเอ๊ยย
เดินไปดูสามหลังที่เหลือ ตัดสินใจเลือกหลังนี้เพราะเห็นว่าวิวด้านหน้าระเบียงสวยไม่มีอะไรมาบดบังทัศนียภาพ
ในส่วนของห้องน้ำและห้องสุขาอยู่หนใดเราจะพาไปดู
สุขานั้นเป็นพื้นกระเบื้องอย่างดี ชักโครกแบบไฮเทคสามารถสั่งงานได้ด้วยเสียง บ้าหราาา ! บนดอยนะแม่
นี่คือห้องไว้ปลดทุกข์ หนัก เบา เราก็เดินไปถามผู้ดูแลว่า
” แล้วห้องอาบน้ำตรงไหนคะ”
ผู้ดูแลชี้มาทางนี้และบอกว่าก็ตรงนี้แหละ แต่ไม่เห็นจะมีใครเคยอาบน้ำสักคน ตอนแรกเราก็หวั่นใจจริงเหรอ คันนะ แต่พอตกเย็นเชื่อแล้ว เพราะว่าอากาศหนาวมากกกซักแห้งกันเถอะพวกเรา
จะเห็นว่ามีคนเยอะแยะเดินไปเดินมา เราก็ตั้งใจว่าอยากขึ้นมาเร็วๆ เพื่อจะได้นอนพักผ่อนสักหน่อย มโนไว้เยอะว่าจะนอนหลับสบายๆ เปิดประตูลมพัดเย็นๆ แต่ความเป็นจริงคือ!
เราพักหลังที่ 2 เสียงคนเดินไปมาดังมาก ประสานกับเสียงไม่ไผ่ที่เป็นทางเดินดังกรอบแกรบๆ ทั้งวัน ประสานกับเสียงชิงช้าที่อยู่ติดกับบ้านพักดังออดแอดๆ โหยหวนดีเชียวอยากจะไปพักหลังด้านล่างนี้แล้วสินะ T_T
เราจะพาไปสำรวจบ้านพักหลังอื่นกัน
เดินไปตามทางเดินที่เป็นไม้ไผ่กั้นเป็นราว ส่วนพื้นก็เป็นไม้ไผ่สาน สองข้างทางมีดอกไม้ทั้งปอเทือง และดอกอื่นๆ ที่เราไม่รู้จัก แซมด้วยต้นกล้วยระหว่างบ้านแต่ละหลัง
หลังนี้เป็นหลัง VIP มีห้องน้ำในตัวค่ะ
มีลานตรงกลางเชื่อมระหว่างบ้านสองหลังเหมาะแก่การไปพักยกก๊วน หรือไปกันแบบครอบครัวใหญ่ กลางคืนปูเสื่อกินข้าว นั่งดูดาว สบายใจ
บนดอยสะโง้มีร้านค้ามากมายไว้จะพาไปทัวร์ แต่ตอนนี้ขอตัวไปนอนสักงีบนะคะ
แต่อย่างที่เล่าไว้ตอนต้นกำลังจะหลับก็เสียงคนเดิน เสียงคนเล่นชิงช้า เอี๊ยดแอ๊ดๆ ถ้าอย่างนั้นลุกออกไปเดินถ่ายรูปเล่นดีกว่า มาเจอกับสิ่งนี้เข้ามีป้ายเตือนด้วยว่าห้ามแตะ บริเวณนี้คือ
ซุ้มประตูหมู่บ้าน Lanrkanq duq-e (อ่านไม่ออกจริงๆ ภาษาอะไรใครรู้บอกด้วย)
ในหมู่บ้านชนเผ่าอาข่า ก่อนเข้าหมู่บ้านจะมีประตูหมู่บ้าน 2 จุด คือหัวและท้ายหมู่บ้าน มีความเชื่อว่าเป็นประตูที่ป้องกันภยันตรายต่างๆ จากภายนอกเข้ามาในหมู่บ้าน เช่น ภูติผีปีศาจ ผีร้าย ผีต่างโหงต่างๆ ที่ประตูหมู่บ้านจะมีตุ๊กตาไม้เพศหญิง-ชาย ประกอบไว้หลายคู่ มีการแกะสลักรูปนกติดไว้เพื่อบอกเหตุ มี ตาแหลว และ หน่า ชิ้ หน่า จะ ผูกมัดติดกับประตูและต้นไม้ไว้ เป็นบริเวณล้อมรอบประตูอันเป็นสัญลักษณ์การป้องกันสิ่งชั่วร้าย และห้ามตัดไม้เด็ดขาดฉะนั้นจึงไม่มีใครแตะต้องและตัดต้นไม้ นอกจากวันซ่อมแซมประตูในปีละครั้งเท่านั้น
ถัดมาใกล้ๆ กับซุ้มประตูเป็นเหมือนห้องอาหาร ล็อบบี้ และทุกอย่างบริเวณนี้ มีเวทีการแสดงด้วยนะ
พาไปดูลานกางเต็นท์กันต่อค่ะ
ที่นี่มีแกะด้วยนะ แกะที่นี่ขนสีน้ำตาลนะเออสันนิษฐานว่าไม่ผ่านการอาบน้ำมานานแล้ว
ประมาณเกือบๆ 5 โมง ลานกางเต็นท์เริ่มหนาแน่นขึ้น คนส่วนใหญ่จะขึ้นมาบนดอยตอนเย็นค่ะ
ร้านนี้จัดซุ้มฟางข้าวให้นั่งด้วย
ทั่วทั้งดอยจะมีจุดให้ชมวิวแบบนี้ และมีป้ายติดไว้ทั่วเลย
ตอนเช้ามานั่งดูทะเลหมอกตรงนี้ท่าจะฟินมาก
ใครอยากจัดส้มตำแซบๆ ร้านนี้มีขายค่ะร้านนี้มีหลายสิ่ง
ซูมไปดูราคาหน่อย ผัดผักบุ้งไฟแดง 59 บาท อันนี้ราคาน่าคบหา
อีกฝั่งจะหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ตกค่ะเดินเล่นจนเย็นย่ำ วนไปวนมารอบดอย ขากลับซื้อไก่ทอดร้อนๆ จากร้านค้าฝั่งโน้นพร้อมข้าวเหนียวมาฝากเด็กน้อย
กินไป นั่งมองแกะไป ชมวิวไป อากาศกำลังเย็นสบายด้วยค่ะ
เราก็ได้แต่ภาวนาขอให้มืดค่ำไวๆ เผื่อความสงบ ณ ที่แห่งนี้จะมีขึ้นบ้าง
เต๊นท์แต่ละหลังก็เริ่มหุงหาอาหารกันแล้ว ส่วนเราฝากลูกไว้กับเพื่อนแป๊บคุณแม่ขอไปเล่นสิ่งนี้ก่อน ฮา
หนาวๆ นั่งผิงไฟจะได้หายหนาว
ในส่วนของอาหารเย็นนั้น จ่ายคนละ 250 บาท รวมทั้ง 3 คนเป็น 750 บาท เราได้อาหารมาหนึ่งสำรับจัดมาแบบขันโตก สามารถเลือกได้ว่าจะไปนั่งทานในลานร่วมกันบ้านหลังอื่น หรือจะทานหน้าบ้านของตัวเองก็ได้ ซึ่งเราเลือกมานั่งทานระเบียงบ้านเราค่ะ
ซูมเข้าไปดูจะมีหมูย่าง ไส้ย่าง ผัดกาดดอง ผักอะไรอีกไม่แน่ใจแบบชาวเขา สำหรับเราถือว่าอร่อยเลยนะ แต่แพงไปหน่อย
เสิร์ฟมาพร้อมข้าวห่อใบตอง
ตอนแรกก็นึกว่าข้าวเหนียว พอเปิดออกมาเป็นข้าวสวยค่ะจัดไปคนละห่อ
นั่งกินหน้าบ้านแบบเบลอๆ งงๆ 55
แต่สำหรับคนที่ไปทานร่วมกันที่นี่มีการแสดงให้ชมด้วยนะเออ
ไฟในห้องน้ำยังคงเปิดไว้ทั้งคืนไม่ต้องห่วงค่ะ แต่ดึกๆ น้ำไม่ไหลเปิดอีกทีเช้าเลย
กินข้าวเสร็จก็พากันเตรียมตัวจะนอน ครั้นจะนั่งล้อมวงเม้ามอยหน้าบ้านก็ไม่ไหวหนาวจับใจเหลือเกิน เรานั่งมองดูอยู่หน้าบ้านคนเดียว ปล่อยลูก สามี และเพื่อนหลับกันไปก่อนจำได้ว่าตัวเองเข้าไปนอนเกือบๆ 4 ทุ่ม แต่นอนไม่หลับยังคงมีคนไปเล่นชิงช้า เอี๊ยดอ๊าดๆ หลอนมาก ต้องเดินออกไปบอกให้เลิกเล่น เท่านั้นยังไม่พอ!! เสียงเด็กน้อยวัยไม่เกิน 6 เดือน ร้องตั้งแต่หัวค่ำยันดึกดื่น ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่น้องรีบพามาเที่ยวจังเลยที่นี่ไม่เหมาะกับเด็กแบะเบาะนะคะ
ยังไม่สาแก่ใจยังมีอีก!! เสียงร้องเพลงจากคนที่นอนเต็นท์ดังยันเกือบเที่ยงคืน ยังไม่สาแก่ใจ ตี 1 ตี 2 มีเสียงมอเตอร์ไซค์ เสียงรถ เสียงคนพูดกันไม่หยุด โอ๊ยยยยยสีจะไม่ทน กว่าจะได้นอนเกือบเช้า
______________
เช้าวันใหม่..
ช่างเป็นค่ำคืนที่แสนโรแมนติกมากกกเลยนะเมื่อคืน ตรงไหน! ด้วยความนอนไม่ค่อยหลับเราก็ตื่นมารอพระอาทิตย์ตั้งแต่ตี 5 ทั้งๆ ที่รู้ว่ากว่าจะโผล่ก็เกือบ 7 โมงโน่น แต่หลายคนก็เริ่มไปถ่ายรูปบริเวณจุดชมวิวกันแล้ว น่าเสียดายที่วันนั้นทะเลหมอกที่ฝันว่าอยากจะเจอ ทะเลหมอกที่เห็นในรูปมันสวยๆมากๆ วันนี้กลับไม่มี
แสงสีทองค่อยๆ สาดแสงลงมา ทำไมเรารู้สึกเริ่มจะตื่นเต้นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่าทุกวันคงเพราะมันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่จะชดเชยความรู้สึกกับเรื่องเมื่อคืนนี้กระท่อมหลังซ้ายมือนี้สำหรับเราคือจุดที่ดีที่สุดแบบไม่ต้องเดินชมพระอาทิตย์ขึ้นที่อื่น นั่งมองจากหน้าบ้านก็ได้
ยังมีจุดที่แนะนำให้ไปถ่ายรูปอีกนะคะ นั่นก็คือบริเวณทุ่งหญ้าสีทองเดินไปด้านล่างใกล้ๆ กับร้านส้มตำเมื่อวาน
จากที่รู้สึกดีไปแล้ว กลับเพิ่มไปอีกเราชอบแสงแบบนี้ เราชอบทุ่งหญ้าตัดกับแสงเช้าแบบนี้ และเราชอบที่สามีถ่ายรูปให้สวย (สักที) แบบนี้ ^^
หมอกฝั่งไทยไม่มีแต่หมอกฝั่งลาวกลับเห็นชัดเจน
อาหารเช้าเป็นข้าวต้ม ไข่เค็ม และกิมจิ กินกันเหลือๆ เลยค่ะ กาแฟ โอวัลติน ฟรีค่ะ มาจิบชมวิวหน้าบ้านได้ ได้เวลาลงจากดอยไปหาน้ำอาบน้ำกันแล้ว เป็นธิดารถอีแต๋น ถือเป็นการพาลูกเปลี่ยนประสบการณ์ เด็กอะไรเดินทางได้ทุกรูปแบบ
ก็เด็กหัวหยองคนนี้เลยค่ะ ู^^
หากใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศไปนอนกระท่อมก็ติดต่อได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ : 092-263-6394
หรือทุกเบอร์ที่อยู่ในป้ายเลยค่ะ