รีวิวนี้แม่ไข่อยากจะเขียนบอกเล่าประสบการณ์การของการเรียนของลูกที่ “โรงเรียนสาธิตปทุม” ปทุมธานีนะคะ ไม่ใช่ ปทุมวัน ^^ ตอนจะพาลูกเข้าเรียนหาข้อมูลยากมากๆ เลยไม่มีรีวิวอัปเดต แม่ไข่ก็เลยอยากเขียนบันทึกไว้เผื่อคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังหาข้อมูลโรงเรียนนี้อยู่จะได้มาอัปเดตกัน
ซึ่งโจทย์ ณ ตอนนั้นคือ อยากได้โรงเรียนใกล้บ้าน เดินทางสะดวก เป็นโรงเรียนขนาดเล็ก เหตุผลส่วนตัวของคุณแม่คืออยากได้โรงเรียนที่สามารถดูแลเด็กได้ทั่วถึง ยอมรับเลยว่าตอนแรกไม่รู้จักโรงเรียนนี้เลยทั้งๆ ที่อยู่ใกล้บ้านมากเดินทางแค่ 5-10 นาทีก็ถึง มีเพื่อนที่มีลูกวัยเดียวกันบอกว่าถ้าจับคู่เข้าไปเรียนจะได้ส่วนลดแรกเข้า (โปรโมชั่นตอนนั้น) ก็เลยได้มีโอกาสไปงาน open house ประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกกับบรรยากาศเล็กๆ อบอุ่นของโรงเรียน ได้เห็นรูปแบบการเรียนการสอนในวันนั้นก็เลยตัดสินใจเลยค่ะ
เมลลี่บอกว่าสไลเดอร์ใหญ่เรียนที่นี่แหละ ฮ่า
โรงเรียนสาธิตปทุม อยู่ตรงแยกบางคูวัด อ.เมืองปทุมธานี แนวทางการเรียนการสอนแบบ Montessori หลักสูตรการเรียนการสอนแนวทางเดียวกับ โรงเรียนบ้านต้นไม้ เปิดสอนตั้งแต่ อนุบาล – ป.6
แบ่งการเรียนการสอนออกเป็น 2 หลักสูตร ได้แก่
– 3 ภาษา ค่าเทอม 37,500 ไทย อังกฤษ จีน ครูประจำชั้นครูไทย และมีครูฟิลิปปินส์เป็นครูผู้ช่วย
– Prep ค่าเทอม 45,500 ครูประจำชั้นเป็นครูฟิลิปปินส์ ในห้องเรียนสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ในวิชาภาษาอังกฤษสอนโดยอาจารย์เจ้าของภาษา ภาษาจีนสอนโดยอาจารย์จากจีนค่ะและตอนนี้เปิด หลักสูตรนานาชาติ แล้วด้วยค่ะ
**ตรวจสอบค่าเทอมโดยตรงกับทางโรงเรียนอีกครั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลง
รูปนี้บันทึกไว้ตั้งแต่อนุบาล 1- 3
ชุดนักเรียนจะมี 4 แบบ ชุดหลักคือสีน้ำเงินค่ะ ลายสก็อตเป็นชุดอินเตอร์ ชุดพละ และชุดไทยใส่วันศุกร์ (เด็กผู้ชายจะเป็นกางเกงม่อฮ่อม) รูปเซตนี้แม่ไข่ถ่ายตอนอนุบาล 1 ชอบตอนนี้แก้มยุ้ยเชียว ^^ ส่วนกระเป๋าแนวแฟชั่นค่ะไม่ได้มีของโรงเรียน
เมลลี่อนุบาล 1
แม่ไข่ให้เมลลี่เรียน 3 ภาษาค่ะ เนื่องจากค่าเทอมถูกกว่า
เมลลี่ในวัยอนุบาล 1 เป็นเด็กที่เข้ากับเพื่อนยากมาก เรียกว่าทั้งเทอมรู้จักเพื่อนแค่ไม่กี่คน เมลลี่ถนัดพูดภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาไทยในตอนนั้นทำให้ลูกปรับตัวไม่ได้แต่ลูกก็ไม่เคยงอแงว่าไม่อยากไปโรงเรียนนะคะ ด้วยความที่ลูกเป็นเด็กที่อยู่เนอสเซอรีมาก่อนทำให้ไม่มีปัญหาในการปรับตัวเลยไม่มีร้องงอแงสักวัน จุดนี้แม่ปลื้มใจ
จุดเปลี่ยนที่ต้องย้ายหลักสูตร
ตอนนั้นทั้งครูที่โรงเรียนต่างช่วยกันบิ๊วให้เมลลี่ทำกิจกรรมกลุ่ม เพื่อที่จะได้เข้ากับเพื่อนๆ ได้แต่ก็น้อยค่ะ แม่ไข่ก็จับเข่าคุยกับลูกว่าเกิดอะไรขึ้น คำตอบคือ ลูกสื่อสารกับเพื่อนไม่เข้าใจ และเข้าหาเพื่อนไม่เป็น วิชาภาษาไทยอ่อนมากแต่ลูกก็พยายามฝึกพูด อ่าน เขียน มานั่งคิดหลายตลบเลยตัดสินใจว่าจะย้ายไปเรียน prep ค่ะ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าหลักสูตร 3 ภาษาไม่ดีนะคะ เพียงแต่ลูกเราอาจเหมาะกับ prep มากกว่า
เมลลี่ K2 – K3 เมื่อลูกย้ายหลักสูตร
K2 ลูกติดครูประจำชั้นที่เป็นชาวฟิลิปปินส์สนุกกับการพูดคุยกับครูมากๆ และเริ่มเปิดใจคุยกับเพื่อนๆ บ้างแล้ว เพราะเด็กห้องนี้ส่วนใหญ่สื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี คุณแม่ก็เบาใจค่ะ ยิ่งตอนนี้ K3 ลูกมีเพื่อนเยอะขึ้น เข้ากับทุกๆ คนได้ เด็กๆ สื่อสารภาษาอังกฤษกันอย่างสนุกสนาน กิจกรรมก็แน่นทั้งปี เมลลี่ชอบทำกิจกรรมค่ะ
ทางโรงเรียนจะเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองทุกคนสามารถเข้าไปสังเกตการณ์การเรียนการสอนได้ปีละ 1 – 2 ครั้งเป็นรอบๆ แม่ไข่ก็เลยได้มีโอกาสถ่ายรูปในห้องเรียนมาเล่าให้ฟังกันค่ะ
วิชาการเรียนการสอนในชั้น K3 จะมีวิชา
-Thai
-Chinese
-English Vocabulary
– English Reading
– English Writing
– Reading & Phonics
– Mathematics
– Science Exploration
– Science Experimentation
– Story & Drama
– Music & Dance
– Music
– Information Technology
– Social & Moral
– P.E.
– Montessori
– Cooking & Gardening
นอกจากนี้ยังมีวิชาเสริมหลังเลิกเรียนจ่ายเพิ่มต่างหาก เทอมละ 1,500 – 2,500 บาท แล้วแต่วิชา เช่น ว่ายน้ำ คอมพิวเตอร์ ดนตรี phonicsฯลฯ
ห้องเรียนของเมลลี่ค่ะ เด็ก 18 คน ครูประจำชั้นหลักเป็นครูฟิลิปปินส์ และมีครูไทยผู้ช่วยอีกหนึ่งคน
ทุกคนจะมีล็อคเป็นของตัวเองไว้ใส่กระเป๋าและของใช้ส่วนตัว
ภาพทั้งหมดนี้ได้รับการอนุญาตจากผู้ปกครองของเด็กๆ ในห้องแล้วนะคะ
วิชาภาษาอังกฤษ
วิชาภาษาจีน
วิชาคอมพิวเตอร์
ห้อง Montessori ห้องนี้เลยค่ะที่ทำให้ประทับใจมากๆ และอยากให้เรียนที่นี่
มีวัสดุ อุปกรณ์ ให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ เสริมสร้างพัฒนาการเยอะเลย
ห้องเรียนหลักๆ ก็จะมีประมาณนี้ หลังจากจบเทอมผู้ปกครองก็จะได้แฟ้มสะสมผลงานของเด็กๆ แบบนี้ค่ะ
มุมอาหารกลางวันค่ะ
สระว่ายน้ำ
ว่าด้วยเรื่องการว่ายน้ำคุณแม่ขอเล่า ตอนอนุบาล 1 เมลลี่ไม่ยอมลงสระเลยค่ะเอาแต่ร้องไห้ พีคสุดเคยเอาชุดว่ายน้ำออกจากระเป๋าแล้วซ่อนไว้ใต้เบาะรถ แล้วไปบอกคุณครูว่าแม่ลืมเอามาให้เธอจะได้ไม่ต้องว่ายน้ำ มาเอะใจตอนเวลาไปรับทำไมไม่เจอชุด T_T คิดได้เนอะ
ตอน K2 เริ่มกล้าลงสระไม่ร้องไห้แล้ว แต่ก็ว่ายน้ำไม่เป็นสักทีคือยอมลงสระแต่ไม่ยอมเรียน
จนมาถึง K3 ทางโรงเรียนเปิดสอนว่ายน้ำหลังเลิกเรียน เดือนละ 2,000 บาท เรียนทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง อยู่ๆ ลูกเดินมาบอกเองค่ะว่าอยากเรียนเห็นเพื่อนเรียน แม่ดีใจมากกก เพราะจะได้ไปรับลูกช้าลง 55 โถ….แม่ จริงๆ ก็ดีใจลูกจะได้ว่ายน้ำเป็นสักที และเด็กๆ ที่เรียนว่ายน้ำทางสโมสรของโรงเรียนก็พาไปลงสนามแข่งขันได้รางวัลกันมาเยอะมาก
กลับมาต่อกันที่ห้องน้ำกัน สะอาด สะอ้านดีค่ะ
นอกจากการเรียนการสอนแล้วก็มีกิจกรรมอื่นๆ อาจไม่ได้แตกต่างจากโรงเรียนอื่นๆ มากนัก เช่น วันไหว้ครู กีฬาสี วันคริสต์มาส
นิทรรศการจัดแสดงผลงานของเด็กๆ
จัดแสดงก่อนปิดภาคเรียน เป็นการรวบรวมผลงานตลอดทั้งเทอมมาให้ผู้ปกครองได้ชมกัน
เวลาเดินไปชมผลงานแล้วลูกก็จะเล่าอย่างภูมิใจว่า “อันนี้หนูทำค่ะ” “อันนี้ของหนู” ความรู้สึกของแม่คือปลื้ม
จริงๆ ผลงานมีเยอะนะคะ ตอนนี้เต็มบ้านแล้ว ฮ่า เพราะแต่ละปีคือหลายชิ้นมาก
เข้าค่าย
กิจกรรมที่คุณแม่ประทับใจคือการเข้าค่ายและนอนโรงเรียน 1 คืนค่ะ ซึ่งเมลลี่บอกว่าสนุกมากคลุกดินทั้งวัน แม่เองก็ได้ไปนั่งดูคิดถึงสมัยเป็นเนตรนารีเลย (รูปจากเฟซบุ๊กโรงเรียน)
คริสมาสต์
กิจกรรมคริสมาสต์ที่เด็กๆ รอคอยจะได้ของขวัญจากซานตาครอส แต่ละห้องก็จะมีกิจกรรมการแสดงด้วยค่ะ
งานเลี้ยงประจำปีจะจัดก่อนปิดเทอมใหญ่แต่ละปีก็มีธีมแตกต่างกันไป อย่างตอน K2 เป็นธีม “Super Hero” ค่ะ
ชุดเต็มมากเลยค่ะ อินเนอร์การโพสต์ก็มา ฮ่า
ไม่ใช่ว่าเด็กๆ จัดเต็มเท่านั้น ผู้ปกครองก็จัดเต็มเหมือนกันค่ะ
พ่อแม่ก็จ่ายค่าโต๊ะจีนมาดูลูกกัน สนุกสนานกันไป โต๊ะจีนอาหารอร่อยนะคะ
เด็กๆ ตื่นเต้นกับการแสดงประจำปี
การแข่งขันทักษะทางวิชาการและการประกวดสิ่งประดิษฐ์ทางโรงเรียนก็ส่งเข้าประกวดตลอดค่ะ ปีนี้เมลลี่ไปแข่งเต้นแอโรบิกได้รางวัลเหรียญเงิน
ตลอด 3 ปีที่สาธิตปทุม เห็นได้ชัดว่าลูกมีพัฒนาการหลายๆ ด้าน
– กล้าพูด กล้าแสดงออกมากขึ้น
– ว่ายน้ำ จากเด็กที่ไม่ยอมลงสระเลยตลอดอนุบาล 1 เคยถึงขนาดเอาชุดว่ายน้ำไปซ่อนไว้แล้วบอกครูว่าแม่ลืมเอาใส่กระเป๋ามาให้ แสบจริงๆ _ _ “ จนตอนนี้มาขอคุณแม่เรียนพิเศษว่ายน้ำเองหลังเลิกเรียนทุกวันแบบไม่ได้บังคับเลยค่ะ แถมค่าเรียนก็ถือว่าถูกดีจุดนี้แม่ชอบ
– โรงเรียนส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก และสนับสนุนความสามารถของเด็กแต่ละคน มีพาไปแข่งขันหลายๆ ที่
สิ่งที่โรงเรียนต้องปรับปรุง
ก็จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากกว่าค่ะ ที่เราก็สามารถเดินไปบอกได้ตรงๆ เช่น
- การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนในตอนอนุบาล 1 จะไม่ค่อยมีการสื่อสารกับผู้ปกครองเท่าไร ตอนนี้ดีขึ้นค่ะ เราจะมีกรุ๊ปไลน์ผู้ปกครอง แล้วตัวแทนห้องก็จะสื่อสารโดยตรงกับโรงเรียน
- อาหารกลางวันแจ้งแค่ว่ามีเมนูอะไร แต่ไม่เห็นภาพอาหาร แม่ไข่ใช้วิธีถามลูกเอาค่ะว่ากินข้าวอิ่มมั้ย ลูกตอบตลอดว่าอิ่ม เลยไม่ได้ติดใจอะไร
- วิชา cooking สิ่งที่ไม่ควรให้เด็กเตรียมไปเองคือ ไข่ไก่ เพราะมีโอกาสที่จะแตก เลอะ กระเป๋าได้
ทั้งหมดนี้ก็เพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่นึกออกนะคะ
ตอบไม่ได้ว่าที่นี่ดีที่สุดมั้ย แม่ไข่เอาแค่ว่าลูกไปโรงเรียนแล้วมีความสุขก็พอ ยังไม่เจอเหตุการณ์เด็กบูลลี่กันในห้อง เด็กรังแกกันแบบร้ายแรงนะคะ แค่นี้ก็ถือว่าแฮบปี้แล้ว
อีกหนึ่งเรื่องสำคัญคือ สังคมผู้ปกครอง แม่ๆ ทุกคนในห้องน่ารักมากๆ ช่วยเหลือกันดี ฝากลูกกันได้ด้วย อย่างบางวิชาที่ต้องหาวัสดุอุปกรณ์ต่างๆไปโรงเรียนใครหาไม่ทัน หาไม่ได้เราก็แบ่งปันกันจุดนี้น่ารักมากๆ
อย่างไรก็ตามรีวิวนี้เป็นเพียงบันทึกในมุมแม่ไข่เท่านั้น อยากให้คุณพ่อคุณแม่ลองเข้าไปชมโรงเรียนด้วยตัวเองสักครั้งแล้วจะได้คำตอบว่าที่นี่เหมาะกับลูกเราหรือเปล่า