เที่ยวแบบกรู >> ได้ไปสักทีนะกิ่วแม่ปาน ดอยอินทนนท์ที่เที่ยวเชียงใหม่สุดฮอตที่แนะนำว่าต้องไปสักครั้ง
การเดินทางของมิตรภาพและความรักของเราเริ่มต้นขึ้นที่ ดอยอินทนนท์ เราเลือกไปวันธรรมดาเนื่องจากว่าไม่อยากเจอสภาพคนเยอะ การจราจรติดขัด หลายคนอาจจะได้ผ่านตา ได้อ่าน เกี่ยวกับกระทู้กิ่วแม่ปานกันมาแล้ว ครั้งนี้เราจะขอเล่าเรื่องราวระหว่างการเดินทางเอาแบบละเอียดเลยจนกระทั่งถึงกิ่วแม่ปานว่าพวกเราเจออะไรมาบ้าง
การเดินทางไป กิ่วแม่ปาน คือปลายทางของทริปนี้ จริงๆ อยากพาลูกไปด้วยนะเพราะหาข้อมูลแล้วไม่ได้ลำบากอะไร แต่คุณพ่อเองต่างหากที่ไม่ไหวเนื่องจากเหนื่อยกับการขับรถมาทั้งคืน เพื่อมาดูแสงแรกตอนเช้าที่ดอยอินทนน์ ดังนั้นการเดินทางไปยังกิ่วแม่ปานจึงมีแค่เรากับเพื่อนเท่านั้น
ล้อหมุนจากปทุมธานีบ้านของเราเกือบๆ 5 ทุ่ม ทำเวลาดีมากเพราะเราอยากมาเห็นแสงแรกบนดอยอินทนนท์สักครั้ง รถค่อนข้างเยอะมากมากันตั้งแต่เมื่อคืนหรือเปล่าเนี่ยให้สามีไปหาที่จอดรถส่วนเราก็รีบคว้าเสื้อกันหนาว หมวก แล้ววิ่งไปกดชัตเตอร์รัวๆ ไปไม่ทันดวงกลมๆ โตๆ แต่แค่นี้ก็ฟินแล้วว
แสงอ่อนๆ ตัดกับหมอกยามเช้า กระทบกับภูเขาที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะ
เป็นถนนอีกเส้นที่เราคิดว่าสวยที่สุด
ลูกไม่ได้เดินทางด้วยมาถ่ายรูปกันก่อนนะคะลูก
นี่คือโฉมหน้าสตรี 4 นางที่จะเดินทางไปด้วยกันถ่ายรูปเสร็จก็เดินเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่ เอ๊ะ! เค้ามุงอะไรกันนะ คนเยอะเชียวตอนแรกก็ไม่รู้เลยสะกิดถามคนข้างหน้าได้ความว่านี่คือต่อคิวนะ!
คนอย่างเยอะ ท่ามกลางอุณหภูมิ 6 องศา หมวกมา ถุงมือ เสื้อกันหนาว ผ้าพันคอ เอาให้ครบโชคดีที่การจัดการคิวของเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำให้รอไม่นานมากเท่าไหร่ค่ะ ซึ่งที่ต้องรอคือไกด์ไม่พอกับจำนวนนักท่องเที่ยว ก็ต้องรอคิวกันนิดนึง
นี่คือไกด์ประจำกลุ่มของพวกเรา พร้อมเดินป่ากันหรือยังทุกคน ถ้าพร้อมแล้วตามไกด์ไปเลยค่ะ เนื่องจากกลุ่มเรารวมกับคนอื่นๆ ด้วยทำให้มีสมาชิกหลายคนเกือบๆ 10 กว่าคนเลย หารค่าไกด์กันก็คนละ 10-20 บาท เท่านั้นเอง
การเดินทางไปยังกิ่วแม่ปานนั้นจะผ่านเส้นทางที่สวยงามแตกต่างกันไป มีป้ายบอกว่าเราเดินถึงไหนกันแล้ว พร้อมกับคำอธิบายด้วยค่ะ แป๊บเดียวพวกเราก็เดินมาถึงจุดแรก
เฟิร์นยุคโบราณ
ทางเดินจุดนี้ค่อนข้างสบาย เดินตามๆ กันไปอย่างเป็นระเบียบเชียว หลุดออกมากจากเฟิร์นยุคโบราณ เราก็มาถึง
ป่าเมฆ
สภาพอากาศหนาวชื้น ลมแรง ของป่าที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกมาหลายเดือนทำให้การย่อยสลายใบไม้ยาก ดินจึงเป็นกรดสูง สภาพเช่นนี้จึงสร้างป่าให้ดูโปร่ง มีกลุ่มไม้เมืองหนาวให้เราได้ชม มีมอส กุหลาบพันปี กล้วยไม้ป่าให้เห็นเป็นระยะ เห็นกล้วยไม้ป่าแบบนี้นึกถึงสมัยเด็กเลยเรากับน้องชอบไปหาในป่า เก็บมาปลูกในบ้านสุดท้ายก็ตายหมด หากดูแลไม่ดีเราว่าเก็บไว้ในป่าแบบนี้ดีกว่านะป่าต้นน้ำ กำเนินสายธาร
เป็นจุดที่สามที่เดินไม่ได้ไกลจากจุดที่สองมากนัก ตรงนี้จะเป็นจุดที่ทุกคนต้องแวะถ่ายรูปกับน้ำตกกันก่อน
น้ำเย็นจัดมาก มองเป็นเส้นประหนึ่งน้ำแข็งกันเลยนางแบบพร้อม ยิ้มสวยค่า
ถ่ายรูปคนละสองสามใบก็เดินทางต่อ คือเกรงใจคนในกลุ่มและไกด์ที่รอด้วยแหละ เดินข้ามสะพานไม้ไปเลยค่ะ
เดินชิลล์เย็นสบายผ่าน
พรรณพืชไม้ป่าเมฆ ตรงนี้แต่ละคนก็เริ่มหอบกันบ้างแล้ว มีจุดให้นักพักเหนื่อยด้วยค่ะอย่าถามป้าว่าไหวมั้ยโปรดดูหน้าค่ะ เรานั่งพักเหนื่อยกันแบบจนพอใจและบอกไกด์ไปว่าเดินนำไปก่อนเลย ไกด์ก็เดินไปช้าๆ พร้อมกับเพื่อนๆ ที่มาด้วยกันตอนแรก
เถาวัลย์
เดินต่อไปอีกไม่เท่าไรก็เจอกับป้ายที่ 6 มีจุดนั่งพักอีกแล้ว บอกตรงๆว่าเรานี่เจอจุดพักนั่งทุกจุดเลยจ้า จุดนี้สัญญาณโทรศัพท์เต็มพิกัดบางคนก็นั่งอัพรูปลงโซเซียลสบายใจ หายเหนื่อยแล้วค่อยไปต่อ ไกด์บอกว่าเดินอีกไม่ไกลแล้วเขาจะไปรอที่กิ่วแม่ปานเลยพวกเราก็โอเคตามนั้นเลยค่ะ
นั่งเล่นมือถือโทรไปหาพ่อลูกสักพักสายตาก็ไปเจอกับภาพนี้เข้า น่ารักจัง นี่ถ้าพาลูกมาด้วยก็คงต้องแบกกันแบบนี้แหละ
และแล้วพวกเราก็ออกจากป่าแล้ว เย่! ความรู้สึกเหมือนเดินป่าน้านนนาน
ทุ่งหญ้าเมืองหนาว
(ไม่ต้องเพ่งที่ป้ายมามะเราจะอ่านให้ฟัง) ปกติที่ความสูงกว่า 4,000 เมตร จากระดับน้ำทะเลในเขตหนาว จะมีเฉพาะไม้ล้มลุกเรียกว่าทุ่งอัลไพล์ แต่ทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์เป็นปรากฎการณ์พิเศษเกิดขึ้นบนดอยอินทนนท์ ดอยผ้าห่มปก และดอยเชียงดาว เป็นยอดเขาสูง 2,000-2,500 เมตร ซึ่งหนาวเย็นเพียงพอให้ไม้ล้มลุกปะปนไม้พุ่มขนาดเล็กจากเทือกเขาหิมาลัยมาเจริญงอกงาม จึงเรียกพงไม้นี้ว่า “ทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์”
ยะฮู้ๆๆๆ ทุ่งหญ้ากึ่งอัลไพน์ ข้ามาหาเจ้าแล้ว อารมณ์ตอนนั้นคืออยากถอดหมวก เปลี่ยนชุดเป็นกระโปรงพลิ้วๆ วิ่งเล่นในทุ่งหญ้ามาก
ซูมไปถึงโน่นเห็นคนเดินเป็นแถวแลเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก
พวกเราก็ลั้ลลากันค่ะ ความรู้สึกตอนนั้นคือที่เราเดินกันมาเหนื่อยๆ นี่คือเริ่มจะหายเหนื่อยละ นี่ขนาดยังไม่ไปถึงจุดชมวิวเลยนะ แต่ก็เริ่มทำใจไว้แล้วว่าจะไม่ได้เจอทะเลหมอกแบบที่คนอื่นถ่ายกัน เพราะไกด์เล่นบอกตั้งแต่แรกแล้ว T_T เพราะวันนั้นลมค่อนข้างแรงค่ะ ไม่ต้องถามใครเลยแค่เห็นลมพัดมาใจก็คิดไปก่อนแล้ว
แต่เอาเข้าจริงๆ ยังไงก็ยังแอบหวังอยู่ในใจลึกๆอยู่นะ ฮา
กูดเกี๊ยะ เฟินทนไฟ
ตอนแรกนึกว่าจะถึงแล้วแต่ก็ยังต้องผ่าน กูดเกี๊ยะ เฟินทนไฟก่อนนะ ชื่อแปลกดีไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ นี่ก็มองหาว่าใช่ต้นนี้ที่อยู่หลังป้ายหรือเปล่า ไกด์ก็เดินนำไปก่อนแล้วสรุปยังคงเป็นปริศนาต่อไป
เดินต่อไปนิดเดียวก็ถึงปลายทางที่ใครต่อใครก็อยากมาถ่ายรูปทะเลหมอกที่นี่สักครั้ง
ไหนล่ะหมอก ตึง! ทุกคนในวันนั้นต่างบ่นเสียดายตามๆ กัน แต่เอาเถอะไม่มีหมอกก็สวยไปอีกแบบนะคะ ตอนนั้นน่าจะประมาณ 10 – 11 โมง ลมพัดเย็นๆ
ใครๆ ก็ต้องมาพิง มาห้อยขาตรงนี้กัน ดราม่าก็เลยบังเกิดนั่นเองซึ้งจริงแล้วมันไม่ได้น่ากลัวตกไปไม่ตายเพราะมีพงหญ้ารองรับแต่ก็ไม่ควรนั่งอยู่ดี เพราะคิดดูถ้าเกิดนั่งกันทุกคน ไม้ต้องพังเข้าสักวันตอนเราไปมันก็เริ่มโยกเยกแล้วด้วย
ถ่ายรูปกันจนหนำใจอยู่ตรงนี้กันนานมาก หลายคนเดินเพื่อมาถ่ายรูปจุดนี้ก็พอใจแล้ว เลิกเดินกลับทางเดิมก็ได้เพราะระยะทางจะใกล้กว่าเดินต่อ แต่สำหรับพวกเราแล้วไหนๆ มาแล้วก็อยากเดินให้สุดทางไปเลย ป่ะ! เดินต่อโลดลมแรงมาก ดูจากผมแต่ละคนเริ่มปลิวไม่เป็นทรงแล้ว
พวกเราเดินบนเขาที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ ตอนกลางวันก็ร้อนอยู่เหมือนกัน เหงื่อเริ่มออกแล้ว
มองย้อนกลับไปทางเดิม เป็นบันไดท่ามกลางหญ้าสีทองที่สวยงาม นี่ก็นึกว่าตัวเองเป็น The Face Thailand นะ 55ใครเบื่อมุมเดิมๆ ตรงนั้นแนะนำให้เดินต่อมาอีกหน่อย จะมีจุดให้ยืนชมวิวถ่ายรูปตรงนี้ ให้ทุกคนนึกภาพตามว่าทะเลหมอกอยู่เต็มไปหมดมันสวยมากกกก (มโนเอามาก)
ตามหาป้ายกิ่วแม่ปานอยู่ มาอยู่ตรงนี้นี่เอง
กิ่วแม่ปาน (ป่าสองมุมบนสันเขา)
กิ่วแม่ปานเป็นสันบนเขา ส่วนที่แคบสุด ลาดเขาสองด้านต่างกัน ด้านนอกถูกแดดส่องร้อนตลอดทั้งวัน ปะทะลมแรงจนตัดยอดไม้ให้เตี้ยลง ฤดูแล้วไฟป่าจากไร่ชาวบ้านลามขึ้นมาบนเผา ทำให้ป่าต้องซ่อมตัวเองตลอดเวลา จึงมีแต่ไม้บุกเบิกขนาดเล็กเมื่อฝนตกด้านนอกน้ำไหลแรงซะหน้าดินลงถมด้วยให้ตื้นเขิน ผิดกับด้านในป่าชุ่มชื่นด้วยพันธุ์ไม้ดั้งเดิม น้ำฝนปะทะใบไม้ไหลตามลำต้น แล้วซึมลงดินไหลลงลำห้วย
นี่ถ้าไม่มีไม้กั้นตอนนั้นคงหวาดเสียวเหมือนกันนะ
ตรงนี้เราจะได้เห็นกุหลาบพันปีด้วย ดอกสีแดงแจ่มมากกซูมไปดูใกล้ๆ ดอกเป็นช่อเหมือนของปลอมเลยชอบการเดินทางบริเวณนี้ที่สุด สำหรับเรานะเราต้องเดินผ่านทางแคบๆ เดินได้ทีละคนเท่านั้น
เสียดายที่แดดแรง พระมหาธาตุเจดีย์ นภเมทนีดล มุนนี้ถ้าเป็นตอนเช้าคงสวยมากๆตรงนี้จะมีป้ายให้ไปต่อยังจุดชมวิว มุมนี้ชะนีอย่างพวกเราก็พร้อม 1 2 3 action!
สูดความสดชื่นให้เต็มปอดหลังจากนั้นเราก็กลับไปเข้าป่าเหมือนเดิม ความท้อแท้เร่ิมต้นขึ้นอีกครั้ง
แดดอยู่บนหัวพี่เริ่มเพลียมากมีจุดนั่งพักเหนื่อย ขอเวลาสักครู่ ตอนนี้ทั้งไกด์ ทั้งกลุ่มที่มาพร้อมกันตอนเช้าหายไปหมดแล้วแต่ไม่มีอะไรต้องหลงเพราะจะเจอเพื่อนร่วมทางและป้ายตลอด
น่าจะอีกไม่กี่ร้อยเมตรแล้วที่จะถึงทางออก แต่ละคนเริ่มหมดสภาพ
ก่อนไปเราไม่รู้หรอกนะว่าจะเจอป้ายแบบนี้กี่ป้าย ซึ่งก็ลุ้นเหมือนกันว่าจะจบที่เท่าไร แรกๆ ก็สนุกสนานกับการอ่านนะแต่พอหลังๆ เริ่มเบลอเดินไปเจอป่าชื้นๆ ก็มีความสวยงามของดอกไม้ป่าเจออะไรแบบนี้เริ่มมีแรงเดินต่อเดินๆ นั่งๆ พักๆ มีบันไดไม้แปลว่าใกล้แล้วจริงๆพอมาเจอป้ายที่ 21 ป้ายสรุปเรื่องราวทั้งหมดแทบจะกรี๊ดดด นี่พวกเราทำได้แล้วพ่อแม่ภูมิใจขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับการเดินทางกว่า 3.5 กิโลเมตร เหนื่อยบ้า ท้อบ้าง สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแบบพวกเราแต่ปลายทางมันคือความสุขจริงๆ สุขที่ได้ทำสำเร็จ สุขที่ได้ผ่านความสวยงามมาด้วยกัน เวลาไปเท่ียวกับเพื่อนมันสนุกจริงๆ นะก่อนไปกินแค่ขนมกับโอวัลตินรองท้อง พออออกมาก็สั่นสิคะ หิวมากไปจัดเลยค่ะ ส้มตำ ไก่ย่าง กินแบบไม่ต้องคุยกัน หยุดการสนทนาแต่เพียงเท่านี้ ปล.พวกนางเห็นรูปนี้จะว่าไงนะ 55 แต่ละคนไม่มีแอ๊บกันเลย
นอกจากเส้นทางศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปานแล้ว ดอยอินทนนท์ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ได้แก่
– น้ำตกวชิรธาร
– น้ำตกแม่ยะ
– น้ำตกสิริภูมิ
– สถานีเกษตรอินทนนท์
ฯลฯ
หากมีเวลาก็ต้องไปเก็บให้หมดอีกครั้งแน่นอนค่ะ
การเดินทาง :
1. โดยรถยนต์ส่วนตัว
ระยะทางจากตัวเมืองขึ้นไปจนถึงยอดดอยอินทนนท์ประมาณ 106 กิโลเมตร ใช้เส้นทางเชียงใหม่ – จอมทอง
2. รถโดยสารประจำทาง
รถสองแถวสายเชียงใหม่-จอมทองบริเวณประตูเชียงใหม่ จากนั้นขึ้นรถสองแถวที่หน้าวัดพระธาตุศรีจอมทองหรือที่น้ำตกแม่กลาง ซึ่งจะเป็นรถโดยสารประจำทางไปจนถึงที่ทำการอุทยานฯตรงหลักกิโลเมตรที่ 31 อย่าลืมถามให้ละเอียดก่อนขึ้นรถ แต่หากต้องการจะไปยังจุดต่าง ๆ ต้องเหมาไป
#DTAC #betternetwork #เที่ยวแบบกรู