ขับรถเที่ยว Tokyo- Takayama – Shirakawago – Kawaguchiko 2 คืน 3 วัน คนละ 3000+บาท

ญี่ปุ่นสำหรับครอบครัวเราเป็นทริปที่วางแผนมาหนึ่งปีเต็มๆ เนื่องจากว่าเราเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาและวาดฝันว่าปีนึงต้องได้ไปเที่ยวต่างประเทศกันอย่างน้อยก็หนึ่งทริป

การจะไปญี่ปุ่นนั้นค่าใช้จ่ายสำหรับ 3 คนก็ค่อนข้างแพง ในวันที่ลูกสาวต้องเสียเงินค่าตั๋วเครื่องบินแบบเต็มราคาแล้ว เอาจริงๆ ก็แอบคิดหนักเหมือนกัน พยายามกดจองตั๋วโปรสายการบินต่างๆ ก็ไม่ค่อยจะทัน เคยแอบไปส่องทัวร์ด้วยรวมแล้วก็เกือบแสน ถอดใจเลยค่ะ สุดท้ายเราก็ได้ไป เมื่อสอยโปรจากแอร์เอเชียเอ็กซ์ก่อนเดินทางประมาณ 3 เดือน ในราคาไป- กลับ คนละ 9505 รวมค่าโหลดกระเป๋าแล้ว ถือว่าราคาก็โอเคแบบไม่ได้จองล่วงหน้าเป็นปี

ทริปนี้เราเดินทาง 26 พ.ย. – 1 ธค.59 เป็นเวลา 5 คืน 6 วัน ทั้งหมดผู้ใหญ่ 5 คน เด็ก 1

26 พ.ย.59 ได้เวลาไม่ค่อยดีเดินทางตอนกลางวัน พัก Khaosan World Asakusa

27 พ.ย.59  Sensoji Tample – Uneo Park – Mori Tower (ชมวิวมุมสูง)

28 พ.ย.59 ขับรถไป Shirakawago พัก Shirakawago Hostel

29 พ.ย.59 Takayama – Kawaguchiko พัก Sunnide Cottage

30 พ.ย.59 Tokyo พัก Shinjuku

1 ธ.ค. 59  วันช้อปปิ้ง เดินทางกลับตอนกลางคืน

ทริปของเราก็มีประมาณนี้ แต่จะรีวิวทั้งทริปคงจะยาวมากขออนุญาตเล่าเรื่องราวของการเดินทางด้วยการเช่ารถขับ 3 วัน 2 คืน นะคะ (แต่ถ้าใครอยากถามเรื่องที่พักวันอื่นๆ ถามได้เลยนะ ) เหตุผลที่เช่ารถคือ บ้านเรามีลูกเล็กสัมภาระเยอะสิ่งมาก กระเป๋าก็หลายใบ กระเป๋ากล้อง ขาตั้งกล้องอีกวุ่นวายมาก ดังนั้นการเช่ารถขับคือสิ่งที่สะดวกที่สุดและเราชอบถ่ายรูประหว่างทางด้วยสิ เอาจริงๆ ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าการนั่งรถไฟไปแต่ละที่ค่าใช้จ่ายเท่าไร ยิ่งพอมีเพื่อนไปด้วยสบายล่ะมีคนช่วยหารค่าทางด่วน ฮาาา ก็คิดว่าเราคิดถูกแล้วที่เช่ารถ
ทริปนี้เราได้ 4G pocket wifi ให้ใช้ตลอดทริปขอบพระคุณมากเลยค่ะ ซึ่งเป็นกล่องสีแดงสวยงาม เปิดมาก็มีอุปกรณ์ครบ ตัวเครื่องใหม่มาก เนตแรงไม่มีสะดุด แบตอึดทน ใช้กับเพื่อนอีก 4 คน ก็ยังเร็วมาก และที่สำหรับนัดรับที่สนามบินได้เลยค่ะสะดวกสบายสุดๆ
4G pocket wifi ใจดี
ลดทันที 15%  เมื่อคุณใส่ Code: Journeywithgu  ตั้งแต่วันนี้ ถึง  31 ธ.ค. 60
สำหรับลูกค้าที่จองเครื่องไปญี่ปุ่น ทุกรุ่น!! สามารถเดินทางตั้งแต่วันนี้ ถึง  31 ธ.ค. 60
สมัครเป็นสมาชิกได้ที่ www.4gpocketwifi.com ฟรี! หรือ
ดูข้อมูลจาก Page: www.facebook.com/4gpocketwifi

สอบถามเพิ่มเติมที่ Call Center 02-105-4447, 092-254-0077
Line id  @4gpocketwifi (มี @ ข้างหน้า id)

รับเครื่องสะดวก ไวทันใจ

สถานที่ BTS ,MRT   วันจันทร์ –  ศุกร์    เวลา 10.30น. – 16.00น.
สนามบินดอนเมือง   เปิดทุกวัน   เวลา 08.00น. – 21.00น.
สนามบินสุวรรณภูมิ  เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง

เอาล่ะทุกอย่างพร้อม ไป!

28 Nov 2016

ห้องพักที่ Khaosan World Asakusa คืนละ 7200 เยน เป็นแบบเรียวกังแต่ละห้องตกแต่งไม่เหมือนกัน ของเราโชคดีที่จองแล้วได้แบบในรูปเลย
เช้านี้ต้องรีบตื่นกันแต่เช้ามากๆ คนที่จะอาบน้ำเป็นคนแรกสุดนี่เริ่มสตาร์ทตอน 6 โมง เช้า เราผู้ที่มีความว่องไวในการอาบน้ำเป็นที่หนึ่งได้คิวเป็นคนที่ 2 ส่วนลูกสาวก็หลับสบายไม่มีงอแงสงสัยว่าเมื่อคืนเดินจากสถานีรถไฟไปที่พักไกลมาก (ออกผิดนั่นเองเลยเดินซะไกล) นางเดินเองท่ามกลางอากาศหนาวเย็น เก่งมากลูก พ่อแม่ภูมิใจ

พวกเราทั้งหมดก็ต้องลากกระเป๋าใบโตๆ นั่งรถไฟไปรับรถที่เช่าไว้นอกเมือง อยู่แถว Tama-ku , Kawasaki City อย่าให้เล่าเลยว่านั่งกี่ต่อบ้าง เพราะขุ่นแม่งงมาก ขุ่นแม่มึนมากค่ะ รู้แต่ว่าประมาณ 3 ต่อ สุดสายโตเกียวออกนอกเมืองมีภูเขาเรียบร้อยแล้ว ตามเวลาเดิมที่แพลนไว้จะต้องไปจุดรับรถไม่เกิน 9 โมง แต่พวกเราก็ทำเวลาดี๊ดีไปถึงซะ 10 โมงกว่า คือไม่ได้ถ่ายรูปแต่ละสถานที่ไว้เลย เพราะของเยอะต้องดูลูกอีก แต่จำได้สถานีรถไฟสุดท้ายปลายทางเต็มไปด้วยโดราเอมอนและผองเพื่อน
เมลลี่ก็มาบอก “คุณแม่ถ่ายรูปให้หน่อย” 
หยิบมือถือมาให้ถ่ายลูก แต่เบลอทุกรูป T_T
เดินลากกระเป๋ากันแบบทุกลักทุเล ถึงแล้วที่นี่เลยเป็นของโตโยต้าค่ะ พวกเราเลือก Toyota Sienta คันนี้เลย
สภาพใหม่เข็มไมค์วิ่งหลักพัน ทำเรื่องยืนเอกสาร ซึ่งสิ่งที่ต้องใช้คือ
 – ใบขับขี่ระหว่างประเทศ (ไปทำได้ง่ายมาก 505 บาท ที่ขนส่งไหนก็ได้ เอารูปถ่าย 2 นิ้ว และพาสปอร์ตเล่มจริงไปด้วยนะ) มีอายุนับตั้งแต่วันทำ 1 ปี
– พาสปอร์ตตัวจริง
แค่นี้ก็ยื่นให้เจ้าหน้าที่ เรากับสามีเป็นคนขับก็ยื่นทั้งสองคนเลย
พวกเราต้องจ่ายเงินค่าเช่า Easy Pass ด้วย 342 บาท ใช้กี่บาทขากลับค่อยมาจ่ายเอาค่ะ
สัมภาระทั้งหมดมีความแน่นและพอดีมาก
สรุปกว่าล้อจะหมุนก็เที่ยง แวะกินข้าวกันก่อนจัดอะไรง่ายๆ เมืองที่ไปรับรถมีแค่ร้านเดียวที่เปิด ณ ตอนนั้น แต่อร่อยเลยล่ะ เป็นร้านที่กดเลือกเมนู แล้วหยอดเหรียญเอา
เราเป็นมือขับคนแรกเพลินๆ สบายๆ สี่แยกที่ญี่ปุ่นนี่เยอะจริง ถี่ยิบเลย จอดกันทุกแยกเลยค่ะ ออกมาสักแป๊บก็ได้ขึ้นทางด่วนเลยจ้าและก็เลี้ยวผิดเลยจ้า _ _” มันมีแยกซ้ายขวาไง อ่านไม่ทัน ทั้งๆ ที่ GPS ก็ทำงานดีมากกก สรุปก็ลงไปกลับรถกลับมาใหม่เสียค่าทางด่วนฟรีๆ ไปประมาณเกือบ 1000 เยนอยู่นะ เพราะหลงเนี่ย!

ระยะทางจากจุดรับรถไปหมู่บ้านชิราคาวาโกะประมาณ 334 กม. พวกเราก็สายชิลล์กะไปเรื่อยๆ ไปให้ทันแสงสุดท้ายที่หมู่บ้านก็พอ ค่าทางด่วนด่านแรกๆ ก็มี 340 เยนบ้าง 640 บ้าง แต่มาพีคตอนเจอ 3000-4000 เยนนี่แหละด่านเดียวเลย โอวววแต่ว่าไปก็ขับไกลมากๆ เลยนะ
อุณหภูมิวันนั้นเลขตัวเดียว ระหว่างทางก็มีใบไม้แดงให้เห็นอยู่บ้าง แรกๆ ก็กรี๊ดกร๊าดกับวิวสองข้างทาง หลังๆ แต่ละคนเริ่มเล่นเนตดูยูทปไปหลับไปบ้าง 4G pocket wifi เล่นตอนรถวิ่งก็ยังเนตแรงสัญญาณดีไม่มีสะดุดเลยค่ะ ส่วนเราคนขับแม้ว่าเมื่อคืนนอนน้อยแต่ก็ไม่รู้สึกง่วงเลยเพราะวิวสองข้างทางนี่แหละ
ชอบตรงที่มีปั๊มให้แวะบ่อยๆ มีตู้ให้กดชา กาแฟ ได้เรื่อยๆ พอถึงจุดแรกก็ได้เห็นฟูจิเลยพวกเราก็กรี๊ดกร๊าดกันมาก เป็นครั้งแรกของทุกคนในทริปเลยค่ะ เอาจริงๆ แรกๆ ก็ตื่นเต้นทุกจุดจอดรถ พอสัก 100 กม.เริ่มพอละขับรถต่อไปอย่างสงบบางก็คนก็ชัตดาวน์ตัวเองหลับสนิท

ส่วนเราคนขับก็ยังสนุกและตื่นเต้นกับวิวสองข้างทางตลอดเวลาแบบไม่รู้สึกง่วงเลย ส่วนเด็กน้อยก็หลับสนิทไม่มีงอแงกวนใจเลยค่ะ

ผ่านช่วงที่มีดอกไม้แดงอยู่บ้าง
ผ่านช่วงที่ร่วงหล่นไปหมดแล้วบ้าง แต่ดูรวมๆ แล้วสวยเหลือเกินขอเอารูประหว่างทางมาให้ชมกันนะคะ
เราขับไปได้ประมาณครึ่งทางถึงจุดพักรถจุดนึงจำไม่ได้แล้วว่าเรียกว่าอะไร แต่ที่นี่วิวสวยมากและหนาวมากเช่นกัน
พอใกล้จะถึงทาคายามะ อากาศยิ่งหนาวเหน็บมีแตะลบ 1 ไปแล้ว ก่อนวันที่พวกเราจะไปหิมะก็ตกหนักตลอดข้างทางเราก็เห็นกองหิมะเต็มไปหมด ก็แวะไปเรื่อย แวะเข้าห้องน้ำกันบ่อยมากๆ คือห้องน้ำทุกจุดพักรถคือดี คือสะอาดมากกกก ที่พีคสุดและเราก็จินตนาการไปไกลออกนอกโลกล่ะ
ก็ตรงด่านที่จะเข้าทาคายามะ มันจะมีจุดพักรถและมีห้องน้ำที่ไม่มีคนเลยดูร้างๆ ถ้าเป็นบ้านเรานี่คิดไปก่อนละ กำแพงนี่ต้องมีเขียนขีดดราม่า หรือบอกรักใครสักคนที่ไม่รู้เขาจะได้มาอ่านหรือเปล่า ห้องน้ำต้องเป็นส้วมนั่งยองๆ ที่ผ่านโศกนาฎกรรมของการปลดทุกข์มาหลายหมื่นคน แต่จุดนี้มันกลับดีมากกกก อุ่นมากกก ฟินมากๆๆ 55 ห้องน้ำก็ยังคงสะอาดเหมือนทุกที่ นี่ก็ดันคิดไปไกลเกิ๊นน คือบรรยากาศมันเงียบวังเวงท่ามกลางป่าไงเธอ

เมื่อสมาชิกทำการปลดเบากันเรียบร้อยแล้ว เราก็เข้าเขตทาคายามะโดยที่เป็นอันต้องทำใจว่าไม่สามารถไปที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะทันแสงสุดท้ายของวันแน่นอน (ถ้าให้ทันต้องออกประมาณ 9 โมงไม่เกิน 10 โมง) เรานี่ตั้งใจกับการไปถ่ายรูปแสงสีน้ำเงินมากๆ จบค่ะ T_T มีแอบนอยด์เล็กน้อยถึงปานกลาง

เมื่อถึงป้ายทาคายามะ ก็พากันดีใจๆ แต่! อีกตั้ง 40 กว่า กม.นะพวกแกรรยังไม่ถึงหมู่บ้านนะเฮ้ยย ท้องไส้แต่ละคนร้องกันโครกคราก คือหิวมากกันทั้งรถ เด็กน้อยยังดีหน่อยมีนมหิวก็กินนมทั้งวันไป พอขับไปถึงหมู่บ้านท่ามกลางความมืดมิด นี่พวกเรามาอยู่แห่งหนใดกันเราเสิร์ชไปที่พักคือที่ Shirakawago Hostel แต่มันดันพาไปยังที่คล้ายๆ เทศบาลบ้านเราอ่ะค่ะ ซึ่งปิดทำการไปแล้ว ทีนี้ก็งงล่ะสิ คือหมู่บ้านมันเงียบมาก รถราสักคันก็ไม่เห็นจะผ่านมา ลงไปถามอาจุมมะร้านขายของชำ ป้าแกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แต่ป้าก็ยังคงตอบเราแบบไม่หยุด แต่เป็นภาษาญี่ปุ่น ป้าคะ! หนูไม่เข้าใจจริงๆ

โชคดีที่มีลูกค้าเดินเข้ามาซื้อของในร้านและพอสื่อสารภาษาอังกฤษได้ พวกเราก็เลยไปที่พักถูก (นี่แหละไม่ควรไปถึงมืดค่ำเลยจริงๆ ถ้าใครชำนาญหน่อยขับรถกลางคืนก็น่าจะดีนะประหยัดค่าที่พักไปหนึ่งคืนด้วย) คือเพื่อนๆ ก็กลัวไม่มีอะไรจะกินก็เลยอุดหนุนร้านอาจุมมะกันเต็มถุง ประกอบไปด้วย มาม่าคัพ มาม่าคัพ และมาม่าคัพ เอ๊ย! จะพิมพ์ทำไมให้ยาว
Shirakawago Hostel คนละ 2259 บาท

พวกเราถือว่าโชคดีมากกกกที่สามารถจองได้ก่อนเดือนทางประมาณ 2 เดือน เพราะที่พักในหมู่บ้านได้ชื่อว่าจองยากมากๆ บางคนจองล่วงหน้า 6 เดือนกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะช่วง light up มกราคม เผลอๆ จองกันเป็นปีเลยทีเดียว

เจ้าของชื่อ Coco สัญญาติญี่ปุ่น แต่พูดภาษาอังกฤษดีมาก ไฟแล่บเลย ในบ้านจะมีห้องพัก 4 ห้อง พักห้องละไม่เกิน 3 คน ห้องน้ำแยกกันชัดเจนระหว่างห้องปลดทุกข์กับห้องอาบน้ำ ห้องน้ำสะอาดมากกก ครัว พร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกครบ มีภาษาไทยเป็นคำแนะนำวางไว้บนโต๊ะเลย เพราะที่นี่คนไทยมาพักกันเยอะนั่นเอง ที่ Coco ย้ำคือ ห้ามส่งเสียงดังหลัง 4 ทุ่ม นอนได้ละนะ ด้วยความที่บ้านเป็นแบบโบราณ การเดิน ก็จะได้ยินเสียง แค่พูดกันก็ได้ยินกันทั้งบ้านละ ดังนั้นของดเว้นกิจกรรมเข้าจังหวะบนที่นอน (เพราะไม่มีเตียง) อย่างเด็ดขาดนะจ๊ะ Coco ขอล่ะ
Coco แจกแผนที่สำหรับการเที่ยวเล่นในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับโทรไปจองร้านเนื้อที่ดีที่สุดในหมู่บ้านไว้ให้เรา แต่พวกเราไม่มีใครกินเนื้อ! ยกเว้นสามีคนเดียว แต่ก็แอบคิดว่ามันอาจจะมีหมูก็ได้นะแก แวะไปหน่อยเถอะ สรุปเหมือนมาถ่ายรูป 1 รูป แล้วจากไป เนื้อ hida ก็ไม่ได้ชิม สุดยอดเนื้ออันดับ 1 ในเมืองนี้ที่สายเนื้อไม่ควรพลาด ส่วนเราสายหมู ไก่ ก็ไม่ได้อินไง น่าสงสารคุณสามีไม่ได้กินสักคำ  ใครไปก็อย่าลืมไปเช็คอินร้านนี้น้า สรุปก็กลับไปซื้อของกินที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตร้านเดียวในหมู่บ้านที่มีทุกสิ่งอย่าง อาหารอย่างอร่อยเลยล่ะ

อิ่มก็เข้านอนกันเถอะพวกเราจะมาเม้ามอยกันก็เสียงดัง แยกกันนอนคนละห้องไง ก็เลย line คุยกัน wifi ที่นั่นแรงอยู่นะ สักพักในความเงียบนั้นก็มีเสียงหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากห้องข้างๆ ประหนึ่งทอร์นาโดลูกใหญ่ถล่มชิราคาวาโกะ ดัง ปู๊ดดดดด 5555


29 Nov 59

เช้านี้เราตั้งใจจะไปยังจุดชมวิวของหมู่บ้านในเมื่อแสงสีน้ำเงินเมื่อวานเก็บไม่ทัน วันนี้พี่จะไม่ยอมพลาดแสงแรกเลยนะ เด็กหัวหยองตื่นมาทำแม่ตกใจตอนตี 4 ก็เลยตื่นซะเลย ลุกมาล้างหน้า แปรงฟัน เขียนคิ้ว ทาลิปสติก น้ำไม่ได้อาบ ก่อนจะปลุกเพื่อนคว้ากล้องไปที่จุดชมวิวกัน ตอนนั้นยังมืดขับไปก็หลงนิดหน่อย ไปจอดรถรอแสงแรกเลยจ้าท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บหนาว เพียงไหนจะฝ่าไป /เพลงบ่งบอกอายุก็มา
สุดท้ายแสงแรกก็มาพร้อมกับภาพหมู่บ้านค่อยๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้า ใช่แล้วเพราะมุมนี้ วิวนี้นั่นเองที่เรียกร้องให้พวกเรามาที่นี่สักครั้ง บนภูเขายังมีหิมะ ทุ่งนายังมีข้าวสีเขียว ใบไม้ยังมีสีแดงบ้างประปราย นี่เรามาได้ครบเลยนะ แม้ว่ามันหนาวสุดๆ ตอนนั้นเกือบๆ -2 ได้ กลางคืนมีหิมะตกด้วยเบาๆ แต่เรากลับยืนมองความสวยงามอยู่คนเดียวได้อย่างยาวนานน
ไม่ใช่อะไรหนาวจนเหน็บกิน ตึง! ขยับไม่ได้ จะชวนลูกถ่ายรูปครอบครัวสักหน่อย ฝันไปแล้วแม่จ๋า ไม่มีอารมณ์เลยค่ะ ได้มาแบบนี้ จากจุดชมวิวตรงนี้เดินขึ้นไปอีกนิดจะได้ภาพแบบนี้ค่ะ
คิด (เอง) ว่าได้รูปสวยงามพอใจแล้ว ก็พากันไปเดินเที่ยวเล่นรอบๆ หมู่บ้าน การที่ได้มานอนในหมู่บ้านข้อดีคือ ตอนเช้าๆ ไม่มีคน ไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ คือมีแต่พวกเราจริงๆ การจะถ่ายรูปมุมไหน ก็มีความสุขไปหมด
บ้านสไตล์กัสโซ่มีความสวยงามมาก บางหลังก็ตกแต่งได้เท่สุดๆ
ให้สามีกับลูกขับรถกันไป ส่วนเรากับเพื่อนก็เดินเล่นถ่ายรูปกัน เหมือนทั้งหมู่บ้านมีแต่พวกเรา นี่คือข้อดีของการมาค้างคืนที่นี่ค่ะ พอหลังจาก 10 โมง ทัวร์ก็เริ่มมาลงแล้ว
มีทุ่งนาก็ต้องมีหุ่นไล่กาด้วยสินะ
เจอนักเรียนกำลังไปโรงเรียนด้วย
เมื่อคืนหิมะตกเล็กน้อยใครนอนเต็นท์นี่สุดยอดไปเลย
บ้านบางหลังก็กำลังสร้างกันอยู่เลยค่ะ
ในหมู่บ้านจะมีวัดอยู่แห่งเดียวค่ะ
เดินกันหนึ่งรอบและขับรถไปถ่ายจุดไฮไลต์อีกหนึ่งจุดคือสะพานเข้าหมู่บ้าน ก่อนจะกลับไปทานข้าวเช้า
ใกล้กับสะพานเข้าหมู่บ้านจะมีร้านอาหารใหญ่โตมาก รองรับกรุ๊ปทัวร์แบบรถบัสคันใหญ่ได้เลย พร้อมกับที่จอดรถ
หรืออยากเซฟงบแนะนำไปซื้อร้านนี้เลยค่ะเป็นมินิมาร์ทใหญ่สุดในหมู่บ้าน ลุงแกเป็นมิตรมากยิ้มแย้ม อยู่ตรงข้ามปั๊ม หากพักที่นี่เดินไปได้ใกล้ๆ เลย อาหารหลายสิ่งมาก
ปั๊มน้ำมันก็ที่เดียวใกล้ๆ กับที่พักของเราเลย
ซื้ออาหารกลับไปทานที่พัก เช้านี้เก็บภาพที่พักมาฝากกันด้วยค่ะ หลังจากเมื่อคืนมาถึงก็มืดมากถ่ายอะไรไม่ได้แล้ว ด้านหน้าจะมีจักรยานสามารถนำไปปั่นเที่ยวรอบหมู่บ้านได้เลย
เข้ามาในบ้านถอดรองเท้าก่อนเลยค่ะ
ขวามือคือทางเดินไปห้องเราเมื่อคืนนี้
ซ้ายมือเป็นห้องน้ำ แยกห้องอาบน้ำชัดเจน สะอาดมาก
ห้องอาบน้ำ
อ่างล้างหน้า
ครัวพร้อมทำอาหาร เครื่องซักผ้า และที่สำคัญคือจุดแยกขยะ ไม่ว่าจะเป็นขวด ถ้วยมาม่าคัพ กินเสร็จต้องล้างให้สะอาดก่อนทิ้งด้วยนะคะ
สิ่งที่ชอบ
– เจ้าของสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีมาก
– ห้องพักกว้างขวาง
– ห้องน้ำสะอาด
– มีโปสการ์ดให้เขียนพร้อมส่งให้ (ขณะเขียนรีวิวนี้เราได้รับแล้ว)

Takayama

ล้อหมุนออกจากชิราคาวาโกะประมาณ 10 โมง เราจะแวะไปเดินเล่นทาคายามะ
มีที่จอดรถใกล้ๆ หลายที่เลยค่ะคิดเป็นชั่วโมง แต่ความโชคดีวันที่เราไปเครื่องเสียเลยได้จอดฟรีค่ะ ไปเดินเล่นกันในย่าน Old Town

Takayama Old Town ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างสวยงามด้วยอาคารหลายหลังตั้งแต่สมัยเอโดะ(1600-1868) ในช่วงที่เมืองเจริญเติบโตเต็มไปด้วยพ่อค้าที่ร่ำรวย ทางตอนใต้ของเขตเมืองเก่า โดยเฉพาะถนนซังโนะมาจิ (Sannomachi Street) มีบ้านเก่า ร้านค้า ร้านกาแฟ โรงกลั่นสาเก ร้านค้ามักจะเปิดบริการตั้งแต่ 9:00-17:00
บรรยากาศประหนึ่งถนนคนเดินเชียงคาน คนเยอะแต่ไม่ถึงกับแน่น สามารถถ่ายรูปได้สบายๆ
มีเด็กนักเรียนเดินเป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมคุณครูพาทัศนศึกษาด้วยค่ะ
ห้ามพลาดคือร้านซูชิร้านนี้ แต่เราพลาดเพราะรอไม่ไหวคิวยาวมาก

แต่เราไม่พลาดไอศกรีมนะเออ หนาวๆ แบบนี้ต้องจัดสักหน่อย เมลลี่ชอบมาก
เดินไปบริเวณตลาดเช้า คือมัวแต่เดินตรง Old Town นานไปหน่อยลืมไปว่าตรงนี้ของจะเก็บเร็ว เที่ยงก็หมดแล้วจริงๆ น่าจะมานอนเล่นที่นี่สักคืนเหมือนกั นนะ เช้าๆ อากาศดี ของขายเยอะเดินเล่นเพลินๆ
ล้อหมุนไปต่อ ไปยัง Kawaguchiko ระยะทาง 215 กิโลเมตร ไปยังที่พัก Sunnide ที่พักยอดฮิตของคนไทยเลยล่ะ วันนี้ตั้งใจมาก (อีกแล้ว) ว่ายังไงก็ต้องไปให้ทันแสงสุดท้ายที่มีฉากหลักเป็นฟูจิให้ได้ เลยขอสมาชิกว่าเราจะแวะกันน้อยลงนะ แต่เราขอแวะร้านกาแฟร้านนี้ ไม่แวะไม่ได้เลยคือน่ารักมาก ร้านกาแฟสีขาวท่ามกลางป่า มีร้านเดียวด้วย
ข้างในมีลุงกับป้าเจ้าของร้านเป็นคนชงกาแฟ ด้านในอุ่นสบายมาก
ออกมาข้างนอกมีหิมะตกแล้ว ตกเบาๆ พอให้คนที่ไม่เคยเห็นหิมะอย่างคุณสามีได้ตื่นเต้นเล่น ข้างๆ ร้านมีลำธารเล็กๆ โอ๊ยดีงามมมากกก นี่แหละคือข้อดีของการขับรถเที่ยว
จำได้ว่าตอนขาไปเนื่องจากมืดแล้วเราจะผ่านอุโมงค์แบบนี้เยอะมาก แต่จะมีอุโมงค์นึงก่อนถึงหมู่บ้านจะยาวกว่า 11 กม. ทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อลงจากเขาแล้วความสวยงามก็เกิดขึ้นอีกแบบ
ประมาณ 4 โมงเย็นตามเวลาท้องถิ่น ความมืดเริ่มเข้ามาแล้ว ที่นั่นสัก 4 โมงครึ่งก็มืดแล้ว

Kawaguchiko

พอถึงที่ Sunnide ให้สามีเป็นคนไปติดต่อห้องพักกับเพื่อนๆ ส่วนเราก็อุ้มลูกวิ่งๆ ไปเก็บแสงสุดท้าย ซึ่งลืมใส่รองเท้าให้ลูกด้วย ภาพที่ได้แบบนี้เลยค่ะ โชคดีมากเลย
ดื่มด่ำจนหนำใจกับบรรยากาศแล้ว ไปดูบ้านพักกัน ซึ่งพวกเราไมได้พักในส่วนของโรงแรมนะคะ แต่พักบ้านเป็นหลัง ที่ Sunide Cottage จะมีบ้านพักหลายแบบสำหรับกรุ๊ปตั้งแต่ 4-15 คนเลยค่ะ บ้านทุกหลังจะหันหน้า

หาทะเลสาบแบ่งเป็นโซนๆ ของพวกเราหลังนี้เลย เปิดประตูก็เห็นฟูจิอยู่ด้านหน้าเลย แม้จะมีต้นไม้ขวางกั้นเราไว้เล็กน้อยก็ตาม เจ้าก็ยังงดงามเสมอ..ฟูจิ ซัง
บรรยากาศของโรงแรมหลังพระอาทิตย์ตกค่ะ เป็นโรงแรมที่คนไทยนิยมมากในวันที่เราก็เจอคนไทยหลายกลุ่มเลย
บ้านพักของพวกเราต้องขับรถขึ้นเขาไปอีกเล็กน้อย ซึ่งบ้านจะเล่นระดับหันหน้าหาทะเลสาบทุกหลัง
บ้านหลังนี้ 8019 บาท ราคาหารแล้วคนละ 1604 บาท 5 คน มีห้องเดียว พร้อมเตียงขนาดใหญ่นอน 3 คนได้สบายๆ ส่วนคนที่เหลือก็มีที่นอนเสริมปูนอนหน้าห้องได้เลยค่ะ ห้องครัว มุมทานข้าว ห้องน้ำ พร้อมอ่างนอนแช่ชมวิวฟินๆ
มุมทานอาหารของพวกเรา
ห้องน้ำเก่านิดนึงแต่ก็ไม่ได้แย่มากค่ะ
ส่วนออนเซ็นหากใครนอนบ้านจะต้องจ่ายเพิ่มคนละ 800 เยน ไปใช้บริการส่วนของโรงแรม หากพักบ้านจะไม่มีอาหารเย็นและอาหารเช้า พวกเราก็ขับรถไปทานข้างนอกเอาถือว่าได้ชมบรรยากาศไปในตัว กลับมาก็ปาร์ตี้ชนกระป๋องแก้หนาว ปล.เบียร์ซับโปโรอร่อยมาก

30 Nov 59

เช้านี้เราตื่นมาชวนลูกไปถ่ายแสงเช้าด้วยกัน จริงๆ แสงเช้าสวยๆ ให้ขับรถไปทะเลสาบ Yamanaka ประมาณ 20 กม. แต่สมาชิกไม่มีใครไปด้วยสรุปก็ถ่ายตรงนั้นแหละ
เด็กน้อยดูจะมีความสุขมากๆ
มุมจากทะเลสาบเมื่อหันหลังกลับไปจะเห็นบ้านพักของพวกเราค่ะอยู่บนเขาท่ามกลางใบไม้แดง
หลังนี้เป็นหลังใหญ่สุดน่าจะนอนได้เป็น 10 คนเลย
โซน E ใกล้ๆ กับบ้านของเรา
หลังนี้ A1 บ้านพักของเราค่ะ เมื่อคืนเห็นไม่ชัดเท่าไร
เจอหนูน้อยหมวกแดงอยู่หน้าบ้านด้วย
มื้อเช้าก็ยังคงอาหารถ้วยเหมือนเดิม ก่อนที่จะเช็คเอ้าต์ตอน 9 โมง แล้วไปเที่ยวเจดีย์ 5 ชั้นกันค่ะ

Chureito pagoda 

จาก Sunnide ขับรถประมาณ 20 นาที ก็จะถึง Chureito pagoda ซึ่งเป็นจุดเช็คอินสุดฮิตที่ไม่ควรพลาด คือไปครั้งแรกนี่ต้องแวะไปสักหน่อย
มุมนี้ชอบมากๆ มีเก้าอี้ให้นั่งมองฟูจิด้วย หากไม่ได้ขับรถไปต้องเดินขึ้นบันไดไปค่ะ น่าจะใช้เวลาสัก 20 นาที
แต่พวกเราสามารถขับขึ้นไปถึงลานจอดรถด้านบนได้เลย
มุมต้องห้ามพลาดสินะ ใครมาก็ต้องถ่ายมุมนี้เนอะ
ยังคงเห็นฟูจิซังเต็มๆ ตา

Oshino Hakkai หมู่บ้านน้ำใส 8 บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

ไปต่อกันที่หมู่บ้านน้ำใส หมู่บ้านนี้อยู่ระหว่าง Lake Kawaguchiko กับ Lake Yamanakako จอดรถเสร็จก็เดินเข้าไปได้เลยค่ะ
เจอผลไม้ขายเยอะมากโดยเฉพาะสตอว์เบอร์รีลูกใหญ่ๆ ราคาก็แรงอยู่ตอนแรกว่าจะหุ้นกันซื้อมาชิมสักกล่อง ๆปๆ มาๆ ดันลืมซะงั้น
คนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่น้ำนี่ใสมาก สมกับชื่อหมู่บ้านเลยนะคะ ภายในหมู่บ้านแห่งนี้มีบ่อน้ำผุดซึ่งเป็นน้ำใต้ดินที่ไหลมาจากภูเขาไฟฟูจิ ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเป็นน้ำที่สะอาดและมีความศักดิ์สิทธิ์ หากใครได้ดื่มก็จะมีอายุยืนยาว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ อุณหภูมิน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-12 องศา น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลาของแท้เลยค่ะ
นอกจากเราสามารถมองเห็นปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำแล้วเรายังสามารถมองเห็นไปถึงก้นบ่อน้ำว่ามีพืชน้ำอะไรขึ้นอยู่บ้าง เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก อยากให้แม่น้ำลำคลองทุกที่ในโลกใบนี้ใสสะอาดเหมือนน้ำในบ่อน้ำนี้จังเลยค่ะ
จะมีโซนที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคนละ 300 เยน คือการเดินเข้าไปถ่ายรูปด้านในค่ะ
ในวันที่ท้องฟ้าเป็นใจเราก็สามารถมองเห็นฟูจิซังได้จากหมู่บ้านนี้เลยค่ะ ซึ่งพวกเราได้เห็นกันจนอิ่มใจแล้วเลยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรมากนัก เราจำภาพนี้ได้ในวันที่หิมะตกหนักเป็นภาพที่สวยมากแม้ว่าวันที่ไปจะไม่มีหิมะเลย แต่เราก็ได้ความเขียวขจีของต้นไม้

ภายในยังมีโซนพิพิธภัณฑ์ฮันโนะคิบายาชิ (Hannokibayashi Museum) จัดแสดงวิถีชีวิต มีข้าวของเครื่องใช้แบบโบราณของญีปุ่น
ด้านในจะมีบ่อน้ำอีกบ่อที่เจ้าหน้าที่บอกว่าบ่อนี้ต้องไปดูให้ได้ น้ำใสกว่าด้านนอกอีกค่ะ
ทีเด็ดห้ามพลาด : อย่าลืมชิมโมจิย่างทีคนขายพูดไทยได้นิดหน่อยอร่อยมากค่ะ

ตอนแรกตั้งใจว่าจะขับรถเที่ยวรอบๆ ทะเลสาบทั้ง 5 แต่ไปมาๆ ก็ไปไม่ครบเนื่องจากว่าเวลาไม่พอ เราเลยขับวนๆ ไปเที่ยว Lake Yamanakako จริงๆ คือจะหาร้านข้าวด้วย ฟ้าไม่ค่อยเป็นใจเลยอึมครึมๆ ฝนลงเม็ดเบาๆ
จริงๆ เราก็อยากขับรถเที่ยวให้ครบทั้ง 5 ทะเลสาบแต่เวลาไม่พอ ต้องอยู่ต่ออีกคืนกำลังดี เลยขอไปตามหาทะเลสาบที่อยู่ในแบงค์ 1000 เยน

Lake Motosu

ทะเลสาบโมะโตะซุถือเป็นทะเลสาบที่ใหญ่เป็นอันดับสามและมีความลึกที่สุดในบรรดาทะเลสาบฟุจิทั้งห้า ส่วนที่ลึกที่สุดลึกกว่า 121.6 เมตร ซึ่งทำให้ทะเลสาบแห่งนี้เป็นทะเลสาบที่ลึกเป็นอันดับเก้าของประเทศ
แต่น่าเสียดายมากฟูจิซังโดนเมฆบังไปหมด
ที่นี่มีกวางด้วยนะคะ เดินเข้ามาหาคนแบบไม่กลัวเลยออกจากทะเลสาบ Motosu ประมาณบ่ายๆ ขับรถกลับโตเกียว ส่งรถที่เดิมระยะทางประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร เนื่องจากมีสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มต้องกลับนกแอร์ไฟลท์เช้า พวกเราก็เลยจะพานางไปช้อปปิ้ง ดังนั้นเราต้องไปส่งรถก่อน 5 โมงค่ะ ในราคาที่จ่ายส่งได้ไม่เกิน 2 ทุ่มระยะทางทั้งหมดของทริปนี้คือ 818 กม.
ค่าเช่ารถ 9190 บาท
ค่าเช่า
Easy Pass 342 บาท
ค่าน้ำมัน 7,939 เยน (2,480 บาท 0.33)
ค่าทางด่วน 15,430 เยน (4,821 บาท 0.33)
ยอดรวม 16,833 (อัตราแลกเปลียน 0.33) หาร 5 คนละ 3367

สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้
ค่าที่พัก 4 คืน คนละ 7049 บาท
ค่าตั๋วเครื่องบินคนละ 9505 บาท
ค่าเช่ารถ คนละ 3367
ค่าอาหารประมาณคนละ 4000-5000 มีกินหรูกินแพงบางมื้อ ราคานี้รวมกาแฟ ชา ขนม ที่กดตามตู้ด้วย
สรุปทริปนี้หมดประมาณ 23,000-25,000 บาท

ย้ำกันอีกทีสำหรับ 4G pocket wifi สัญญาณดีไม่มีสะดุด
ลดทันที 15%  เมื่อคุณใส่ Code: Journeywithgu  ตั้งแต่วันนี้ ถึง  31 ธ.ค. 60

สำหรับลูกค้าที่จองเครื่องไปญี่ปุ่น ทุกรุ่น!! สามารถเดินทางตั้งแต่วันนี้ ถึง  31 ธ.ค. 60 
สมัครเป็นสมาชิกได้ที่ www.4gpocketwifi.com ฟรี! หรือ 
ดูข้อมูลจาก Page: www.facebook.com/4gpocketwifi 

หากใครมีแพลนไปเที่ยวรูทนี้แล้วไปเป็นแก๊ง การเช่ารถขับก็เป็นอีกทางเลือกที่สนุกมาก เพราะเรื่องราวระหว่างทางคือความสวยงามจริงๆ ค่ะ

teawbebgru

เราก็แค่ครอบครัวที่รักการเดินทาง ดีใจที่ได้พาลูกท่องโลกกว้างด้วยกัน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องเล่าของเรานะคะ ^^ติดต่องาน E-mail : [email protected]

ใส่ความเห็น