บ้านนาต้นจั่น สุโขทัย จ่าย 600 บาท นอนโฮมสเตย์ ชมทะเลหมอก

เที่ยวแบบกรู พาลูกไปนอนโฮมสเตย์ ชมทะเลหมอก เก็บผลไม้  เรียนรู้วิถีชาวบ้าน ที่บ้านนาต้นจั่น สุโขทัย ใครๆ ก็ไปได้จ่ายแค่ 600 บาท

สุโขทัย ครั้งแรกของครอบครัวหัวหยอง พาเมลลี่ไปขูดแผนที่ประเทศไทยเป็นจังหวัดที่ 34 การเดินทางของเด็กหัวหยอง เราเลือกไปที่ “บ้านนาต้นจั่น” หมู่บ้านที่กระตุ้นให้เราอยากไปเที่ยวสุโขทัยตั้งแต่เห็นรีวิวเมื่อหลายปีก่อน เราจึงวางแผนว่าวันหยุดยาวเดือนสิงหาคมล็อคไว้เลย จองล่วงหน้าเป็นเดือน

อัตราค่าบริการ 1-2 คน คนละ 600 บาท
เด็กอายุต่ำกว่า 5ขวบ คิด250 บาท
 3 คน คนละ ขึ้นไป 500 บาท พร้อมอาหารเช้า และเย็น

กิจกรรมชมเที่ยวในหมู่บ้านเจ้าของบ้านพาชมเที่ยว หมายเหตุ :หากลูกค้าท่านใดสนใจขึ้นจุดชมวิวชมทะเลหมอกพระอาทิตย์

ล้อหมุนสายๆ ค่ะตั้งใจจะไปถึงบ่ายๆ แต่รถติดมากเนื่องจากเป็นวันหยุดยาว 3 วัน ตอนแรกกะจะแวะเที่ยวไปเรื่อยๆ สุดท้ายต้องรีบไปที่หมู่บ้านให้พทันพระอาทิตย์ตกดิน ระยะทาง 400 กว่ากิโลเมตร (จากบ้านย่านปทุมธานี) เราก็มาถึงแล้ว “บ้านนาต้นจั่น” อ.ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย

ที่พักในหมู่บ้านเป็นลักษณะโฮมสเตย์ มีทั้งหมด 20 บ้าน การจองห้องพักต้องไปจองในเพจ บ้านนาต้นจั่น สุโขทัย  แอดมินจะทำการจองบ้านพักให้ดังนั้นก็ต้องลุ้นกันเอาเองค่ะว่าจะได้พักหลังไหน 

เราได้พักหลังนี้ บ้านพี่วราภรณ์ หลังใหญ่คิดถึงบ้านของแม่เลยประมาณนี้ บ้านนาต้นจั่น ถือเป็นต้นแบบของโฮมสเตย์มีการจัดการที่ดี เป็นระบบ 600 บาท ที่เราจ่ายไปนั้นส่วนหนึ่งจะหักไว้เป็นกองกลางเพื่อนำไปพัฒนาหมู่บ้านต่อไปด้วยค่ะ

หลังนี้เราจะเห็นรีวิวบ่อยๆ เนื่องจากมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะดีค่ะ ชั้นบนกว้างขวาง มีมุมให้นอนเล่น

มีเปลให้นอนชิลล์ (ทุกหลังจะมีเปลแทบทั้งนั้น)

ชั้นบนมีห้องนอน 3 ห้อง ด้านในไม่มีอะไรมากค่ะ ที่นอน หมอน ผ้าห่ม พัดลม

ห้องน้ำชั้นบนค่ะ


สองพ่อลูกก็มานอนชิลล์ เมลลี่บอกชอบมากๆ

 แต่ว่าเราไม่ได้นอนบนบ้านนะคะ เราลงมานอนเรือนหลังเล็กด้านล่าง เปิดเข้าไปก็กว้างขวางทีเดียวนอนได้ 5-6 คนสบายๆ เลย

มีห้องน้ำในตัวค่ะ

แต่จริงๆ คืออยากนอนบ้านต้นไม้มากกก พี่วราภรณ์บอกว่ามีเด็กด้วยไม่น่าจะเหมาะ แถมห้องน้ำอยู่ด้านล่างต้องขึ้นๆ ลงๆ อีก ห้องก็แคบด้วยค่ะ เหมาะกับคู่รักหรือคนที่อยากไปพักคนเดียวมากกว่า

บนบ้านมีกรุ๊ปมาพักเกือบ 10 คน เรียกว่าปิดทั้งชั้นเลยค่ะ

เมลลี่ก็สนุกสนานเดินเล่นกองฟาง นั่งชิงช้า 

เย็นๆ ก็จะมีนักท่องเที่ยวปั่นจักรยานผ่านหน้าบ้าน

หากวันที่ท้องฟ้าเป็นใจเราสามารถชมพระอาทิตย์ตกดินได้จากบ้านต้นไม้

“หิวกันหรือยัง”
เสียงพี่วราภรณ์ถาม พร้อมกับยกสำรับกับข้าวมาให้พี่ๆ ชั้นบนก่อน โห…น่ากินมากกก จากตอนแรกกะว่าค่อยกินก็ได้กลายเป็นเปลี่ยนใจขอด้วยค่ะพี่ 

ทั้งหมดนี้ทานกัน 3 คน ตึง! จะหมดมั้ยละเนี่ย สำหรับนี้ก็จะมี ปลาทอด ไข่เจียว (พิเศษให้เมลลี่) ลาบหมู น้ำพริก ผัดหน่อไม้ แกงไก่ใส่หัวปลี

เมนูแนะนำคือ นำ้พริกซอกไข่ ซิกเนเจอร์ของที่นี่เลยนะ นัวๆ ดีเหมือนกันนะ ไม่เผ็ดมากค่ะ

แกงไก่ใส่หัวปลี ของโปรดเราเลยค่ะกินแล้วคิดถึงฝีมือแม่

บรรยากาศล้อมวงกินข้าวแบบนี้เราไม่ได้สัมผัสมานานมาก แอบอยากร่วมวงกับพี่ๆ เขาด้วย ^^

มื้อค่ำผ่านไป นั่งกินกันหน้าบ้านหลังนี้เลยค่ะ ที่นอนของเรา ข้อเสียคือยุงเยอะไปหน่อย

เอาภาพยามพลบค่ำที่บ้านพี่วราภรณ์มาฝากค่ะ

หลังนี้บ้านตรงข้ามเป็นโฮมสเตย์เช่นกันค่ะ

ตอนแรกก็คิดว่าอากาศร้อนอบอ้าว จะนอนกันได้มั้ย เลยเปิดหน้าต่างหมดทุกบานพอดึกๆ ลมก็พัดเย็นสบาย หลับฝันดีเลยค่ะ


Day 2

เช้านี้เรามีนัดตอน 04.30 น. เพื่อตื่นไปดูทะเลหมอกที่ “จุดชมวิวห้วยต้นไฮ”  มีลุง อ.บ.ต.เป็นไกด์ ขับรถมาถึงหน้าบ้านตรงเวลาเป๊ะ! 

การขึ้นไปดูทะเลหมอกนั้นต้องจ้างไกด์ พร้อมรถรับ ส่ง ในหมู่บ้านเท่านั้นค่ะ ราคา 450 บาท ต่อเที่ยว นั่งได้ไม่เกิน 8-9  คน ดังนั้นหารกันแล้วก็แค่หลักสิบบาท แต่ครอบครัวของเราไม่มีคนมาหารด้วยก็เหมากันไป

ตอนนั้นมืดมากไม่รู้ผ่านอะไรบ้าง รู้แต่ว่าทางขรุขระเอาเรื่องเหมือนกัน แต่เมลลี่ก็ดูตื่นเต้นมากๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พาลูกขึ้นเขาตอนยังไม่สว่าง ไฟฉายที่พักเตรียมให้ น้ำดื่ม ไกด์ก็เตรียมให้พร้อม ส่วนเราเองอย่าลืมทายากันยุงด้วยค่ะ เพราะยุง แมลง ก็เยอะอยู่นะ

มีเดินเองบ้าง แม่อุ้มบ้าง เหนื่อยก็พักมีจุดพักเป็นระยะๆ แบบนี้ค่ะ กลุ่มเราเป็นกลุ่มแรกที่เดินขึ้นเลย

“จุดชมวิวห้วยต้นไฮ” บ้านนาต้นจั่น
เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกในที่เดียวกัน ระยะทางจากหมู่บ้านถึงตีนเขานั่งรถประมาณ 3.5 กิโลเมตร  ต้องเดินเท้าประมาณ 850  เมตร ใช้เวลาเดินขึ้น 30-50 นาที แล้วแต่พักนานแค่ไหนถ้าฟิตๆ ก็แป๊บเดียวค่ะ ระยะทางพอๆ กับยอดเขาเทวดา สุพรรณบุรี แต่ยอดเขาเทวดาชันกว่าเยอะเดินยากกว่า ที่นี่ถือว่าสบายๆ 

ก่อนขึ้นไปก็ถามลุงตลอดทางว่าจะได้เห็นทะเลหมอกหรือเปล่า ลุงก็บอกว่า “แน่นอน ต้องได้เห็น” เมื่อลุงมั่นใจเราก็คาดหวังเต็มที่ พอเดินไปถึงเท่านั้นแหละ นี่คือภาพแรกที่เห็นหายเหนื่อยเลยค่ะสวยมากกก

ไฮไลต์คือจุดชมวิวบนยอดไม้ อยากจะนั่งมองนานๆ แต่ทำไม่ได้เราต้องแบ่งให้คนอื่นๆ ขึ้นมาถ่ายรูปด้วย

ถามเมลลี่ว่าหมอกสวยมั้ย
ตอนนี้ลูกกลายเป็นชอบภูเขา ทะเลหมอกไปแล้ว หลังจากที่เอะอะๆ ก็จะไปแต่ทะเลท่าเดียว

เมื่อฟ้าสว่างจะเห็นว่าคนมาดูทะเลหมอกในวันหยุดคึกคักทีเดียวค่พ

ชิงช้าก็มีให้ชิลล์ด้วย

ส่วนอีกฝั่งก็มีหมอกเช่นกัน ฝั่งนี้คือที่ตั้งของหมู่บ้านค่ะ

เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก ใครมีแรงต้องขึ้นมาอีกรอบนะ

หน้าฝนแบบนี้ยากที่จะเห็นพระอาทิตย์ดวงโตๆ แค่มีแสงโผล่มาให้เห็นก็ดีใจแล้ว ลุงไกด์ให้เรานั่งชมวิวไปก่อนบอกว่าเดี๋ยวไปหาอะไรมาให้รองท้อง

เดินตามไปดูก็เห็นว่าทางนี้เขาทำอะไรกันคึกคักเชียว

ห้องน้ำก็มีนะ ช่วงหน้าหนาวสามารถขึ้นมานอนกางเต็นท์กันได้

นี่คือสเน่ห์ของบ้านนาต้นจั่น คือการจิบกาแฟจากกระบอกไม้ไผ่ ไกด์แต่ละคนก็สาละวันตัดกระบอกไม้ไผ่กันตรงนั้นเลยค่ะ

แผนกต้มน้ำก็มา แบ่งหน้าที่ช่วยเหลือกันดีค่ะ

ใครหิวมาก็จัดบะหมี่กันไปต้มในนี้เลย

ส่วนครอบครัวเราขอแค่กาแฟ โอวัลตินก็ฟินแล้วค่ะ จิบไปมองทะเลหมอกไป อ๊ากกก คือดี ส่วนกระบอกไม้ไผ่เราเอากลับบ้านได้นะคะ ถือว่าเป็นของที่ระลึกเอามาเป็นที่ใส่ปากกาก็ได้

ชื่นชมทะเลหมอกจนพอใจได้เวลาลงกันแล้ว ถ่ายกับภาพเป็นที่ระลึกกันหน่อย “เมลลี่ผู้พิชิตห้วยต้นไฮ”

ตอนขึ้นมาจะได้ยินเสียงคนตีไม้ไผ่เป็นระยะ เป็นสัญญาณบอกว่าเดินมาถึงแล้วนะ ตีเพื่อให้คนข้างล่างรู้ด้วยค่ะว่ามีคนเดินถึงแล้ว

ตอนเดินขึ้นยังมืดอยู่มองไม่เห็นทาง พอสว่างก็เห็นว่าก็มีชันเป็นระยะ

ตรงนี้ต้องระวังมีคนลื่นล้มหลายคนเลยค่ะ แนะนำให้ใส่รองเท้าให้พร้อม

แบกบ้าง เดินบ้าง พักบ้าง ไปตามทาง

คุณลุงก็ให้ความรู้ตลอดทางเรื่องของต้นไม้ต่างๆ 

เราเดินผ่านสวนทุเรียนด้วยค่ะ เสียดายวันที่ไปไม่มีทุเรียนแล้ว

จุดนั้นเลยค่ะที่เราเพิ่งผ่านกันมา

ขาไปนั่งด้านในกัน ขากลับเมลลี่บอกว่าจองท้ายเลยค่ะ

ทางก็ประมาณนี้ค่ะ ไม่ได้แย่มากแต่รถเก๋งก็ไม่ควรมา

ขากลับแวะโฮมสเตย์บ้านสวนตาเตี่ยม อยู่ตีนเขาเลยค่ะ ใครอยากพักผ่อนจริงๆ ให้มานอนที่นี่เลย

มีต้นส้มโออยู่หน้าบ้าน

โอ้โห แทบอยากจะย้ายที่นอนชอบแบบนี้มากค่ะ

กับหน้าต่างบานใหญ่สุดท่ามกลางธรรมชาติ

มีความแม่กำปองมากๆ เจ้าของบ้านได้แรงบันดาลใจจากแม่กำปองค่ะ และมุมนี้ก็เหมาะแก่การนั่งดูดาวตอนกลางคืน หรือจะนอนเปลชิลล์ๆ คือแม่ก็อยากจะถ่ายรูปชิลล์บ้าง แต่ลูกนอนแบบไม่ยอมลูกค่ะชอบจริงๆ

โฮมสเตย์บ้านตาเตี่ยมมีสองห้องเท่านั้นค่ะ ห้องน้ำห้องเดียว

นอกจากส้มโอแล้ว ลองกองที่สวนตาเตี่ยมกำลังออกเลยค่ะ อนุญาตให้เก็บกินได้ด้วย

ตอนนั้น 8 โมงกว่าแล้วเริ่มหิวข้าว กลับไปทานมื้อเช้าที่บ้านพี่วราภรณ์ค่ะ จัดเต็มอีกเช่นเคย เป็นมื้อเช้าที่อร่อยมากๆ แทบไม่เหลือเลยค่ะ

ด้วยความที่ตื่นเช้ากลับมาทานข้าวเช้าแล้ว พ่อ ลูก ก็หลับกัน ตื่นมาอีกทีก็เที่ยงได้เวลาอำลาบ้านพี่วราภรณ์ เราพักที่บ้านนาต้นจั่นสองคืนค่ะแต่อีกคืนอยากเปลี่ยนไปนอนบ้านหลังอื่นบ้าง แต่ก่อนจะเข้าไปบ้านหลังที่สองไปหามื้อเที่ยงทานกันก่อน นี่เลยค่ะร้านเด็ดในหมู่บ้าน “ข้าวเปิ๊บล้มยักษ์”


ไปตอนเที่ยงพอดีคนแน่นร้านเลยค่ะ

มีที่ว่างมุมนี้โต๊ะสุดท้ายพอดี

เมนูแนะนำก็คือ ข้าวเปิ๊บ ข้าวพันไข่

ที่เห็นควันพุ่งๆออกมานี่คือ การทำเส้นของข้าวเปิ๊บค่ะ 

ระหว่างรออาหารที่สั่งไว้ดูท่าจะนานเพราะคนเยอะมาก เดินมาข้างๆ มุมนี้คือ “ตลามสามแคร่” ที่มาของชื่อสามแคร่ไม่ได้มีอะไรมากมายมาจาก แคร่ที่ตั้งอยู่ 3 แคร่ ขายกันอยู่สามร้านก็เท่านั้นเองค่ะ

มีชาวบ้านนำผัก ผลไม้ มาขายด้วยค่ะ ซึ่งตลาดสามแคร่มีเฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์ เท่านั้น

เมนูเด็ด ส้มตำกาบหมาก

กาบหมากนั้นไม่ได้อยู่ในส่วนผสมของส้มตำแต่อย่างใด แต่มันคือภาชนะที่ใส่ส้มตำค่ะ

ไข่นกกระทา ก็มี

อีกร้านขายเครื่องดื่ม  เช่น น้ำมะพร้าว อัญชันมะพร้าวอ่อน แก้วละ 20 บาท ได้แก้วแบบนี้กลับบ้านด้วยค่ะ

จานนี่ก็เอากลับบ้านได้นะ

รออยู่นานสองนานและแล้วก็มา สิ่งนี้คือ ข้าวเปิ๊บล้มยักษ์ 50 บาท ชามใหญ่มากกก ลักษณะของข้าวเปิ๊บก็คือก๋วยเตี๋ยว ที่มีกรรมวิธีทำเส้นคล้ายข้าวเกรียบปากหม้อ 

เมื่อเทียบกับหน้าเมลลี่แล้ว ยิ่งดูอลังการมากก เด็กน้อยผู้หิวโหยรีบซดน้ำใหญ่เลยค่ะ

ก๋วยเตี๋ยวแบกาบหมาก 30 บาท ก๋วยเตี๋ยวแบบสุโขทัยนั่นแหละค่ะ มีถั่ว มะนาว หมูแดง อร่อยดี

ข้าวพันพริก 20 บาท แอบไม่ถูกปากชิมไปคำเดียววางเลยค่ะ เป็นสิ่งเดียวที่เหลือบนโต๊ะ

เราจอดรถตรงข้ามร้าน ซึ่งจะมีโฮมสเตย์น่าพักอีกหลัง 

มีนวดแผนโบราณด้วยนะ อยากจะใช้บริการมากแต่ไม่เห็นใคร

ทอผ้าใต้ถุนบ้าน 

เอาล่ะเราไปตามหาที่นอนของเราคืนนี้

“อชิโฮมสเตย์”

ถามคนแถวนั้นได้ความว่า บ้านที่นี่สะพานไม้ยาวๆ นั่นเลย หาไม่ยากค่ะติดถนนทางไปวัด จอดรถเสร็จเดินเข้าไปแบบงงๆ ตรงที่ยังมีช่างกำลังทำบ้านอยู่เลย (ตอนนี้คงเสร็จแล้ว)

ตัวบ้านเป็นบ้านไม้สัก สวยงามมาก ให้อารมณ์เรือนนังคำแก้วแห่งนาคีเลย (แอบหรูกว่าบ้านนางคำแก้วนิดนึง)

มีชานบ้าน และมุมพักผ่อน มีทีวีด้วยนะ

เจ้าของบ้านชื่อพี่แหม่ม อยู่บ้านถัดไปอีกหลังเดินมาต้อนรับอย่างเป็นกันเองค่ะ

นั่งดื่มน้ำดื่มท่าก่อนนะเจ้าคะ

บ้านหลังนี้มี 3  ห้องนอน ขนาดเท่านั้น ที่นอนแบบนี้ทั้งสามห้อง ทุกอย่างดูใหม่ เนื่องจากว่าบ้านใหม่ด้วย 

ห้องน้ำมีห้องเดียว กว้างขวางดีค่ะ มีเครื่องทำน้ำอุ่น 

มุมนี้ดีงามมาก บอกแล้วว่าหมู่บ้านนี้มีเปลทุกหลัง

คุณแม่กำลังจะงีบ เมลลี่ก็ไกวเปลให้อย่างสนุกสนาน แต่ว่า…..
ข้อเสียคือ ด้วยความที่บ้านหลังนี้ถือว่าเป็นบ้านที่สวยที่สุดในหมู่บ้านก็ว่าได้ นักท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมาก็แวะมาถ่ายรูปกันแทบทั้งนั้น บางคนก็ขึ้นมาส่องบนบ้าน ดังนั้นแนะนำว่าหากใครมาพักหลังนี้กลางวันอย่าอยู่ที่บ้านเด็ดขาดเพราะไม่มีความเป็นส่วนตัวใดๆ ทั้งสิ้น

มีเรื่องขำ ด้วยความที่นอนบนเปลแล้วไม่เวิร์กก็เลยเข้าไปงีบในห้องซะเลยค่ะ หลับสนิทไม่รู้เรื่องมาตื่นอีกทีก็ได้ยินเสียงคนพูดเสียงดัง และมีคนมาชะโงกดูที่ห้อง (เราไม่ได้ล็อคประตูเพราะว่าร้อน) ทำให้เราต้องตื่นละ พอกันทีสำหรับการนอนกลางวัน 55

เดินไปร้านกาแฟดีกว่าซึ่งก็เป็นร้านของพี่แหม่มเจ้าของบ้านที่เราพัก ร้านอยู่ใกล้ๆ เดินไปได้ค่ะ

ราคาเครื่องดื่มก็เริ่มต้น 30 บาทค่ะ

พี่แหม่มจะเดินไปเดินมาอยู่แถวนั้น หากไม่อยู่ที่ร้านก็ลั่นระฆังเรียกได้ค่ะ


หลังจากนั้นก็รอเย็นหน่อย ได้เวลาปั่นจักรยานซึ่งจักรยานก็จอดที่ร้านพี่แหม่ม เป็นของหมู่บ้านมาจับจองกันได้ พร้อมกับนัดแนะไกด์เด็กไว้ด้วยค่ะ 

เส้นทางที่เราจะผ่านนั้นมีทั้งสวนลองกอง ของพี่แหม่มอีกนั่นแหละ เก็บกินได้ค่ะ

ถ้าคนเยอะๆ ก็สามารถนั่งรถอีแต๊กเที่ยวรอบหมู่บ้านได้ค่ะ

ลูกดกมาก หวานอร่อยเลย

สงสัยวันนั้นไม่ค่อยมีคนปั่นเส้นทางมีแค่เราเท่านั้น ก็ชิลล์ดีค่ะ ท้องนากำลังเขียวขจี

กลับไปที่เรือนกันเถอะเจ้าค่ะคุณหนู 
ระหว่างรอมื้อเย็นเลยนำภาพที่เรือนของข้า 55 มาฝาก บ่าว ไพร่ ไม่รู้หายไปไหนกันหมด เหลือแค่ คุณหนู ท่านเจ้าคุณ และข้าเท่านั้น 

จริงๆ ถ้าบ้านเสร็จเรียบร้อย สวนจัดเสร็จแล้วคงจะสวยกว่านี้มากๆ (ตอนนี้น่าจะเสร็จแล้วนะ)

สำรับอาหารมื้อนี้ ยังคงมาเต็มเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือน้ำพริกกะปิ ปลาทู แต่ละอย่างมีความแซ่บมาก

อากาศค่อนข้างอบอ้าว ท่านเจ้าคุณถึงกับต้องถอดเสื้อกินข้าวเลยทีเดียว

กินข้าวเสร็จก็ไม่รู้จะคุยอะไรกัน ก็อยู่ด้วยกันทุกวัน ฮา นอนกันดีกว่า ทั้งเรือนมีแต่เรา 3 คน เงี้ยบเงียบค่ะ 

Day 3

นัดกับพี่แหม่มไว้ว่าจะตื่นมาใส่บาตร พี่แหม่มบอกว่าหากได้ยินเสียงระฆัง นั่นหมายถึงพระกำลังออกบิณฑบาตรแล้ว ประมาณ 06.30 น. นั่นหมายคววามว่าต้องตื่นมาเตรียมตัวแต่เช้ามืด จริงๆ แค่ลุกมาอาบน้ำแต่งตัวก็เท่านั้นเอง เพราะอาหารพี่แหม่มเตรียมไว้ให้ค่ะ หยิบผ้าถุงในตู้มานั่งได้เลย
ก็มัวแต่เลือกผ้าไปมา จนพระเดินผ่านหน้าบ้านไปตอนไหนไม่รู้ T_T

พี่แหม่มก็เลยแว้นพาไปดักรอพระอีกทางค่ะ สุดท้ายก็ได้ใส่บาตร ^^

 แล้วก็เดินกลับบ้านกันค่ะ

ข้างบ้านมีเวทีเล็กๆ เห็นแล้วอยากใส่ชุดทองกวาวมายืนร้องเพลง ^^

จริงๆ หากมาพักเป็นครอบครัวมุมนี้ล้อมวงทานข้าว คุยกันดีทีเดียวค่ะ

สำรับเช้านี้ มีข้าวเหนียวห่อใบตอง ลาบหมูใส่กระบอกไม้ไผ่ แกงจืด หมูทอด ผัดฟักทอง มาเต็มเหมือนเดิม

เมื่อเด็กอิ่มก็ขอนอนกินนมชิลล์ๆ ก่อนที่จะบ๊ายบายบ้านนาต้นจั่น

สำหรับกิจกรรมวันนี้พี่แหม่มพาไปดูผ้าหมักโคลนที่ศูนย์การเรียนรู้ อยู่ที่เดียวกับร้านข้าวเปิ๊บเมื่อวาน

ผ้าหมักโคลน ถือเป็นของดีของบ้านนาต้นจั่น เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านสืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ตา ยาย  เริ่มขึ้นจากการสังเกตของชาวบ้าน ที่ถูกเล่าต่อๆ กันมาว่า ยามที่ออกไปทำนา เสื้อผ้าส่วนล่างที่ใส่ไปนั้น ก็จะเปื้อนโคลนทุกครั้ง หลังจากกลับบ้านมาซักผ้าเพื่อทำความสะอาดแล้ว จึงสังเกตว่าผ้าในส่วนล่างที่เปื้อนโคลนนั้น มีความนิ่มกว่าผ้าส่วนบนที่ไม่เปื้อนโคลน หลังจากนั้นกรรมวิธีการทำผ้าหมักโคลนจึงเกิดขึ้น

ซึ่งผ้าหมักโคลนทำรายได้ให้กับชาวบ้านนาต้นจั่นปีหนึ่งไม่ต่ำกว่าหลักล้านบาทกันเลยทีเดียวค่ะ

เมลลี่ “แม่ๆ เมลลี่อยากไปดูช้าง”
เมื่อลูกบ่นว่าอยากไปดูช้าง อยู่ๆ ก็ได้ไปดู บ้านนาต้นจั่นมีช้างด้วย! พี่แหม่มเป็นไกด์พาไปทัวร์ค่ะ ช้างที่ผ้าถูกเลี้ยงให้อยู่ตามธรรมชาติมีแค่ลวดสลิงขึงไว้เท่านั้น 

มีหลายเชือกเลยค่ะ

ขับรถไปต่อที่หมู่บ้านมีอ่างเก็บน้ำด้วยค่ะ ถ้าไปเช้าๆ อากาศดีมาก

หลังจากนั้นก็แวะไปดูอีกหนึ่งอาชีพสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านคืองานจักสานค่ะ ซึ่งจะทำตามออเดอร์

ไม้ไผ่สานได้หลายแบบเลยค่ะ 

อีกหนึ่งภูมิปัญญาของชาวบ้านที่นี่นั่นก็คือ บาร์โหน บ้านตาวงษ์ค่ะ ซึ่งตอนนี้คุณตาได้เสียชีวิตไปแล้ว มีลูกชายมาสืบทอดการทำตุ๊กตาบาร์โหนต

มองดูแวบแรกก็ดูธรรมดา แต่ความน่าทึ่งคือตุ๊กตาโหนบาร์ตัวนี้สามารถยกขา ยกแขน ตีลังกา ได้หลายท่ามาก โดยใช้นิ้วมือในการบีบไม้เข้าหากันค่ะ 

มีทั้งบาร์เดี่ยว บาร์คู่ ซื้อให้เมลลี่กลับมาเล่นที่บ้านเป็นการฝึกกล้ามเนื้อแขนได้ดีเชียวค่ะ ราคาบาร์เดี่ยว 200 บาท

ก่อนกลับพี่แหม่มพาไปที่สวนอีกครั้งเก็บลองกองเป็นของฝากให้เราเต็มตะกร้าเลยค่ะ

สวมวิญญาณลูกสาวกำนันปีนตัดกันสนุกสนาน

3 วัน 2 คืน ที่บ้านนาต้นจั่น ได้ครบทั้งชิลล์ ปั่นจักรยาน ดูทะเลหมอก วิถีชาวบ้าน เป็นหมู่บ้านตัวอย่างที่ไม่ต้องจากบ้านเกิดไปทำงานต่างถิ่น ทุกคนมีรายได้ เด็กๆ ก็สามารถหาค่าขนมไปโรงเรียนด้วยการเป็นไกด์กันตั้งแต่เล็กๆ 

600 บาท สำหรับเราถือว่าคุ้มค่านะคะ อาหารก็จัดเต็มทุกมื้อ ที่หลับที่นอนก็สมราคา สะอาดทุกหลัง จริงๆ เราไปถ่ายโฮมสเตย์หลังอื่นๆ มาด้วย ไว้จะรีวิวให้อ่านกัน ถ้าจะต่อให้จบรีวิวนี้ต้องยาวมากๆ 

การเดินทางไปสุโขทัย

– รถยนต์ส่วนตัว
จาก กทม. ใช้ทางหลวงสายเอเชีย (32) ผ่านอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี นครสวรรค มุ่งหน้าสู่ทางหลวงหมายเลข 117 ผ่านพิจิตร พิษณุโลก มุ่งหน้าสุโขทัย ผ่านอำเภอกงไกรลาศสู่ทางหลวงหมายเลข 102 (อุตรดิตถ์ – ศรีสัชนาลัย) ผ่านอำเภอศรีสัชนาลัย เลี้ยวซ้ายแยกบ้านตึก เข้าบ้านนาต้นจั่น 

– รถโดยสารประจำทาง 
ขึ้นรถที่หมอชิต ไปลงที่ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย แล้วติดต่อที่พักให้มารับ ลองสอบถามโดยตรง

– เครื่องบินโดยสาร

ติดต่อจองที่พักบ้านนาต้นจั่นได้ที่ :  Facebook : https://www.facebook.com/HomeStayBannaTonChan/

เบอร์โทรศัพท์ : 088 495 7738

 

teawbebgru

เราก็แค่ครอบครัวที่รักการเดินทาง ดีใจที่ได้พาลูกท่องโลกกว้างด้วยกัน ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเรื่องเล่าของเรานะคะ ^^ติดต่องาน E-mail : [email protected]

ใส่ความเห็น