Kunming | Lijiang | Shangri-La | Yading ปลายทางฝันในวันใบไม้เปลี่ยนสี

เที่ยวจีนใครบอกไม่ชิค! รู้มั้ย? ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่จีนที่มันดีงามมาก อยากให้ไปถ่ายรูปสวยๆ อัพ IG ที่หากไม่ได้เช็คอินก็นึกว่าที่นี่ยุโรป

ย่าติง (Yading) แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย

แชงกรีล่าแห่งสุดท้าย ประโยคนี้ติดอยู่ในใจมากนานมาก อยากไปหาคำตอบว่า อะไรคือแชงกรีล่า? แล้วทำไมต้องแห่งสุดท้าย?

แชงกรีล่า หรือ เซียงเก๋อหลี่ลา ในภาษาจีนแปลว่า แผ่นดินภาคกลางที่มีความอุดมสมบูรณ์และสวยงาม ยากแก่การไปถึง เนื่องจากในสมัยก่อนนั้น การคมนาคมยังไม่สะดวกสบาย ทำให้การที่จะไปยังแชงกรีล่านั้นยากลำบากนั่นเอง และนี่คือการเดินทางบนเส้นทางที่สวยงามกำลังเริ่มต้นขึ้น

ภูเขาหิมะ รายล้อมด้วยใบไม้เปลี่ยนสี ตัดกับทะเลสาบสีน้ำเงินที่สวยงามไม่แพ้ยุโรป แต่เดินทางไม่ไกลแค่จีนแผ่นดินใหญ่แค่นี้เอง แถมราคาทริปก็ไม่แพง เที่ยวได้ตลอดทั้งปีแต่ละฤดูก็สวยงามมีเสน่ห์ไปคนละแบบ แต่สำหรับเราตั้งใจไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสีเลยค่ะ

สิ่งที่ควรรู้ก่อนไปจีน

  • ต้องขอวีซ่า ซึ่งของด้วยตัวเองง่ายมากที่ อาคารธนภูมิ ชั้น 5 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ยื่นเอกสารชำระเงิน รอ 3  วันก็ได้แล้ว ค่าวีซ่าคนละ 1,650  บาท ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.visaforchina.org/
  • เที่ยวจีนด้วยตัวเองได้สบายมาก สำหรับคนที่พูดภาษาจีนไม่ได้ (แบบเรา) โหลดแอปพลิเคชั่น Wechat ไว้เลยแอปเดียวอยู่จริงๆ เพราะต่อให้เราพูดจีนไม่ได้แต่แอปนี้ชนะเลิศมาก พิมพ์และแปลให้เสร็จสรรพ คุยได้หมดทั้งซื้อของ สั่งอาหาร หรือแม้กระทั่งถามทางด้วยแอปนี้
  • Sim ซื้อจากไทยสัญญาณดีมาก ขนาดอยู่บนย่าติงยัง live ได้คิดดู
  • กระดาษเปียก ทิชชู่ คือสิ่งที่ห้ามลืมพก รวมทั้งช็อกโกแลต กล้วยตากน้ำผึง อินทผลัม พกไว้เวลาเดินเพิ่มพลังได้เยอะเลย
  • ฟิตร่างกายก่อนมาไว้หน่อยก็ดี เพราะเป็นการเดินระยะไกลในที่ที่ออกซิเจนน้อยถ้าร่างกายฟิตก็ยิ่งเดินสบายเลย
  • ลบภาพห้องน้ำสกปรกออกไปเพราะตอนนี้พี่จีนพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำสาธารณะมีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดตลอด
  • เวลาจีนเดินเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง
  • อาหารการกินเดี๋ยวนี้สามารถเปิดรูปให้ร้านดูได้นะ เราได้กินผัดกระเพรา ไข่เจียว และซี่โครงหมูทอดด้วยฟินมากกก หรือใครติดความแซ่บก็พกน้ำพริก บะหมี่รสต้มยำไปสักหน่อยก็ดี
  • จองรถไฟได้ที่ Trip.com

เราเดินทางกลางเดือนตุลาคม 62 ตั้งใจไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ใช้เวลา 9 วัน สมาชิก 6 คน เดินทางโดย สายการบินแอร์เอเชีย ไปลงคุนหมิง หรือบางคนก็เลือกบินเข้าคุนหมิงแล้วบินกลับจากเฉิงตูก็จะได้เที่ยวทริปเดียวสองเมืองไปเลย สะดวกทั้งคู่ 
จองตั๋ว https://www.airasia.com/

สำหรับการเดินทางไปยังอุทยานย่าติง สามารถใช้ได้ 2 เส้นทางด้วยกัน ได้แก่

1. เส้นทางมณฑลเสฉวน ใช้เส้นทาง เฉิงตู – ตันปา – หลี่ถัง – เต้าเฉิง – ย่าติง
2. เส้นทางมณฑลยูนนาน ใช้เส้นทาง คุนหมิง – แชงกรีล่า(จงเตี้ยน) – เต๋อชิง – เต้าเฉิง – ย่าติง

ทริปนี้เราใช้เงิน 15,000 แบบเหลือๆ (ไม่รวมตั๋ว)

แจกแพลนทริปแบบละเอียดลอกตามนี้ได้เลยค่ะ

Day 1  Bangkok – Kunming
07.45  – 11.25    FD 582 Don Mueang – Kunming
12.30 – 21.00  City tour around Kunming
22.00 – 06.32    Go to Lijiang by Train

Day 2  Lijiang
08.00 – 18.00    Jade Dragon Snow Mountain
18.00 – 19.00  Back to hostel and dinner

Day 3  Lijiang – Shangri La
07.00 – 11.00    Go to Shangri La by mini van
11.00 – 19.00  Shika Snow Mountain
19.00 – 20.00  Back to hostel and dinner

Day 4  Shangri La – Riwa

Day 5  Yading National Park
10.00 – 18.00  5 Colour Lake and Milk Lake

Day 6  Yading National Park
08.00 – 15.00    Pearl Lake
15.00 – 17.00  Go to Daocheng

Day 7  Daocheng – Shangri La

Day 8  Shangrl La – Lijiang – Kunming
09.00 – 11.00 Songzanlin Temple
12.00- 15.00  Go to Lijiang by mini van
19.20 – 22.18 Go to Kunming by Train

Day 9 
02.00 – 03.15  FD 585  Kunming –  Don Mueang

DAY ​1 Bangkok – Kunming

เก็บกระเป๋าไปล่าฝันด้วยเที่ยวบิน FD 582  FD 582 Don Mueang – Kunming  

มาเที่ยวยาวๆ แบบนี้ แนะนำกดซื้อแพ็กสุดคุ้มพร้อมตอนจองตั๋วเลย เพราะจะได้ทั้งน้ำหนักกระเป๋า 20 kg อาหารร้อน เลือกที่นั่งได้ และความคุ้มครองการเดินทางในราคาที่ถูกกว่าซื้อแยกสูงสุด 20% เลย 

ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงกว่าๆ เกือบๆ เที่ยง ก็ถึงสนามบิน สนามบินนานาชาติฉางสุ่ย (Kunming Changshui International Airport) เป็นสนามบินแห่งใหม่ ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของจีน

คุนหมิง
เป็นเมืองท่ี่ใหญ่สุดในมณฑลยูนนาน ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน ตั้งอยู่บนตอนกลางของที่ราบสูงยูนนาน-กุ้ยโจว สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,900 เมตร

สนามบินฉางสุ่ยตั้ง อยู่ห่างจากตัวเมืองคุนหมิง 25 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางเข้าเมืองประมาณ 45 นาที ลากกระเป๋าเดินออกมาหน้าสนามบิน และได้สัมผัสอากาศด้านนอก อย่างหนาว ให้เดินไปถามประชาสัมพันธ์ว่าเราจะเข้าเมือง พนักงานก็จะบอกว่าเราต้องขึ้นบัสหมายเลขอะไร ส่วนพวกเราจะไปสถานีรถไฟเพื่อเอากระเป๋าไปฝากแล้วค่อยเที่ยวในตัวเมือง

สถานีรถไฟคุนหมิงใหญ่โตมาก

ถ้าคุณเห็นกระทิงแปลว่าใช่แล้วไม่ผิด

จากรูปปั้นให้เดินไปทางซ้ายจะมีช่องฝากกระเป๋า ไม่ใช่ล็อคเกอร์แต่อย่างใดหน้าตาแบบนี้เลย ดังนั้นของมีค่าเอาไปด้วยนะค่าฝากใบละ 8 หยวน

หลังจากนั้นเราก็หาอะไรกินอย่างเอร็ดอร่อยนั่นก็คือ KFC ฮ่า ใช่ค่ะ! มื้อแรกที่คุนหมิงของพวกเรากินอะไรที่คุ้นเคยมาก สาขาที่สถานีรถไฟเลย หลังจากนั้นก็ขึ้นแท็กซี่ไปหาที่เท่ี่ยวสักครึ่งวัน

Kunming Waterfall Park (น้ำตกคุนหมิง) 

เห็นในรูปเฉยๆ แต่ของจริงอลังการงานสร้างมากกกก ที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใช้เวลาสร้างกว่า 3 ปี ภายในประกอบไปด้วยน้ำตกและทะเลสาบอีก 2 แห่ง ที่สร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ ไฮไลท์ของสวนอย่างน้ำตกใหญ่ยักษ์นั้น กว้างกว่า 400 เมตรและมีความสูงถึง 12.5 เมตร ถือเป็นน้ำตกฝีมือมนุษย์ที่ยาวเป็นอันดับของเอเชียเลยก็ว่าได้ ค่าเข้าฟรี!

ต้องเดินลอดๆ ตรงนี้เพื่อทะลุไปทางสะพาน

ของจริงคืออลังการมากกก

เที่ยวน้ำตกก็นานอยู่นะ หลังจากนั้นก็นั่งแท็กซี่ไปต่อตั้งใจจะไปวัดหยวนทง แต่ว่าไปไม่ทันหลวงพ่อท่านปิดประตูต่อหน้าต่อตาบอกว่าหมดเวลาแล้วนะยูว์ แฮ่ อ้อ! ค่าแท็กซี่ไม่แพงเลยประมาณ 20 หยวน นั่งกันคนละ 3 คนก็ตกคนละไม่กี่สิบบาท

พอไม่รู้จะไปไหนก็เลยเดินเล่นรอบเมืองซะเลย เดินไปเดินมา 5 กิโลเมตรจ้าาาา ดูรองเท้าอิชั้นก่อนเหอะเพื่อนเอ๊ยย เพื่อนปลอบใจเบาๆ แต่เหมือนจะรู้สึกดีว่า “ถือว่าซ้อมก่อนไปย่าติง” 

แต่การเดินดีนะ ได้แวะดูนั่นดูนี่ เสื้อผ้าเด็กน่าช้อปราคาถูกดี ชานมก็มีหลายร้าน จัดไปค่ะ

หลังจากที่เดินเล่น หาอะไรกินและซื้อสเบียงไปตุนกันบนรถไฟอีก 4 ทุ่มก็ได้เวลาเดินทางด้วยรถไฟ

ผู้คนขวักไขว่แต่ว่าหาไม่ยากนะในบัตรมีบอกละเอียด ชัดเจน Platform ไหน ตู้เท่าไรก็เดินไปตามนั้น

ด้วยความที่พวกเรารักกันมากๆ เราไม่อยากพลัดพรากจากกันเลย เราควรต้องนอนรวมกัน 6 คน ผิด!! ที่จริงคือตู้นอน 6 คน 3 ชั้น ถูกสุด ฮ่า ตกคนละ 741 บาท (ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามค่าเงิน) 

เห็นแว่บแรกก็ร้อง Here! จะนอนยังไง เสียงจากเพื่อนที่ตัวใหญ่ที่สุด แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ลงตัวกระเป๋าทุกใบวางพอและยังมีพื้นที่ในการกิน KFC กันต่อด้วย ปล.รถไฟดีมากมีปลั๊กไฟให้ด้วย และเตียงนุ่ม ผ้าห่มสะอาด

 

_________________________

DAY 2  Lijiang

สวัสดีลี่เจียง!! บนความสูง 2,400 ม.
ติ๊งหน่อยๆ แม้ว่าเสียงตามสายจะพูดภาษาจีนแต่ก็พอจับใจความว่าอีกไม่กี่นาทีจะถึงลี่เจียงแล้ว เตรียมตัวให้พร้อม ขำตรงนี้มากพวกเราอยู่ห้องแรกในโบกี้นั้นแต่ไม่มีใครลุกเลย ในขณะที่ตู้อื่นๆ เดินออกมายืนพร้อมออกมาก จนพนักงานต้องมาไล่ 55

มันเช้ามากเลยแม่ 6 โมงเช้าที่ไม่มีแรงจะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายอวดภาพห้องน้ำที่ได้เข้าหน้าสถานีรถไฟลี่เจียง สะอาดมากนะ เราสามารถเข้าไปล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนชุดได้สบายๆ มีพนักงานมาทำความสะอาดตลอด

ขณะนั้นมีคุณป้าขับรถแวนมาถามว่าจะไปไหน ป้าพูดภาษาจีนนะ แต่พวกเราก็เข้าใจงงมั้ย ฮ่า ก็มีแอป Wechat ไง สรุปกว่าจะแต่งตัวกันเสร็จใช้ชีวิตอยู่ในห้องน้ำกันเป็นชั่วโมงก่อนที่จะเหมารถป้าคนนั้นเที่ยววันละ 400 หยวน ซึ่งวันนี้เราจะไป Jade Dragon Snow Mountain

ป้าพาไปกินมื้อเช้าที่ป้าคัดมาให้แล้วว่า ร้านนี้ดี ก็โอเคนะมีซาลาเปาด้วยก็อุ่นใจ หลังจากนั้นก็พาไปซื้อออกซิเจนที่จำเป็นต้องใช้ กระป๋องละ 60 หยวน ราคาเท่ากันกับข้างบนเลยไม่ต้องแวะซื้อก็ได้ (แต่ที่ถูกที่สุดคือที่ตลาดโบราณลี่เจียงกระป๋องละ 15 หยวนเอ๊ง)

Jade Dragon Snow Mountain (ภูเขาหิมะมังกรหยก)
ค่าเข้าคนละ 100  หยวน  cable car+bus คนละ 140 หยวน (มีราคาการแสดงด้วยนะแต่เราไม่ได้ดู)

 อยากให้เผื่อเวลาแต่เช้าๆ เพราะมวลมนุษย์นักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวต่างชาติเยอะมาก และที่แห่งนี้ต้องมีดวงด้วยนะเพราะอย่างวันที่เราก็ได้ขึ้นไปชิลล์ๆ คนเยอะจริงแต่รอไม่นาน ในขณะที่เพื่อนไปอีกวันเกิดเจอพายุหิมะ อดขึ้นเฉย สิ่งแรกที่ต้องทำคือเข้าแถวขึ้นกระเช้า ใครเตรียมเสื้อไปไม่พอด้านในมีให้เช่าด้วยเป็นเสื้อกันหนาวและกันหิมะได้สีแดง 

นี่คือเข้าแถวขึ้นบัสก่อนนะคะ แล้วค่อยไปขึ้นกระเช้า

บนกระเช้าคืออุ่นสบายมาก

แต่พอถึงเท่านั้นแหละ โอ๊ย!! ทั้งลมแรง ทั้งหนาวสั่น ตอนนั้นประมาณ 1-2 องศา

ที่เห็นเสื้อแดงๆ นั่น ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อทัวร์มา ทัวร์ก็จะมีแจกเสื้อกันหนาว หรือถ้าไปเองสามารถเช่าด้านล่างก่อนขึ้นกระเช้ามาได้

เห็นทางแล้วตอนแรกก็หดหู่นะ จะเดินไม่เดินถามใจตัวเองอยู่ สุดท้ายเอาว่ะ มาซะขนาดนี้ไม่เดินได้ไง

อย่างที่บอกสิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญกระป๋องออกซิเจน เดินแล้วเหนื่อยก็พ่นสักหน่อย

พ่นออกซิเจนยังไงให้ดูแพง แต่แม่หมดแรงแล้วจ้า

แต่ก็พยายามทำตัวเหมือนเดินเล่นสวนหลังบ้าน ประหนึ่งไม่หนาว และเราก็สามารถไต่ไปถึงยอดท่ามกลางหิมะตกปรอยๆ 

หันหลังมองกลับไป โน่นเรามาจากตรงนั้นไกลลิบๆ

มีที่ให้นั่งพักเหนื่อยเป็นระยะ

และแล้วก็ทำสำเร็จบนความสูง 4,680 เมตร เอาจริงๆ ตอนนั้นไม่มีอารมณ์จะถ่ายรูปตัวเองเลยจ้า รีบเดินกลับอย่างรวดเร็วเพราะหนาวมาก เสื้อที่ใส่ไปเอาไม่อยู่รู้งี้เช่าเพิ่มดีกว่า

ลงจากกระเช้าเราก็จะมุ่งหน้าไปที่ Blue Moon Valley (หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน) กันต่อ ซึ่งพอลงกระเช้าเสร็จก็ต้องมานั่งรถบัส แล้วก็มาจ่ายเงินเพิ่มเพื่อจะไปต่อยังจุดต่างๆ ใน Blue Moon Valley คนละ 20 หยวน


Blue Moon Valley (หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน)
สารภาพเลยว่าก่อนไปไม่ได้คาดหวัง ดูรูปแล้วก็อือ สวยดี แต่พอเห็นของจริงคือ สวยมากกกกกกก อลังการมากกกกกก จนอึ้งไปเลยเธอ

หุบเขาแห่งนี้มีแม่น้ำสีน้ำเงินไหลผ่านหุบเขาอันเขียวชอุ่มของภูเขาหิมะมังกรหยก ว่ากันว่าเมื่อมองจากระยะไกลหุบเขาจะมีลักษณะคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวสีน้ำเงินที่ฝังอยู่บนเชิงเขาจึงเป็นที่มาของชื่อนี้ 

น้ำสีฟ้า ใสมากกก และอากาศก็หนาวมากเช่นกัน

น้ำตกเป็นชั้นๆ เล่นระดับโอ๊ยยยดีมากกเคยเห็นแต่ในหนังจีนมาเห็นของ จริงสวยกว่าหลายเท่านัก อย่าลืมลงไปถ่ายรูปมุมนี้นะใช้เลนส์ wide หน่อยเก็บได้หมดเลย

เป็นสถานที่ที่เจ้าบ่าวเจ้าสาว นิยมมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันที่นี่

เห็นแล้วก็หนาวแทนเจ้าสาวเลย

และความอลังการไม่ได้สิ้นสุดแต่เพียงนั้น นั่งรถไปเรื่อยๆ ยังจุดต่อไปก็ยังมีน้ำตกสุดอลังการด้วย

เราใช้เวลาอยู่ที่ ภูเขาหิมะมังกรหยกและหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินจนปิดเลยจ้าาาา เที่ยวคุ้มอีกแล้ว เรียกว่าคุณป้าที่เราเหมารถไปถักโครเชต์เสร็จไปหลายผืนเลยฮ่า 

Lijiang 26th Courtyard Hotel 
คืนละ 300 บาทต่อคน

ที่พักที่ลี่เจียงของพวกเราอยู่ใกล้เมืองโบราณแบบเดินไปนิดเดียว ห้องพักใหญ่มาก และห้องน้ำก็ดีมากเช่นกัน

เข้าไปด้านในมีพนักงานคอยบริการรินชา มีขนมให้ทาน และที่สำคัญไปตามหาคนพูดภาษาอังกฤษได้มาให้เราด้วย ซึ่งเราไม่ได้จองรถพร้อมคนขับมาล่วงหน้า การไปหาเอาดาบหน้าก็ลุ้นสนุกดีแต่เพื่อนๆ ไม่ต้องกังวลโรงแรมหาให้เราได้แน่นอน แต่ถ้ากระชั้นชิดราคาอาจจะสูงนิดนึงขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคน ซึ่งเราจ่าย 5,600 หยวน 6 วัน  6 คน หารแล้วตกคนละ 4,000 บาท

________________________

DAY 3  Lijiang – Shangri La

ก่อนจะล้อหมุนบ๊ายบายลี่เจียงเพื่อมุ่งหน้าแชงกรีล่าอีกหลายชั่วโมงพวกเราก็ตื่นไปหาของอร่อยรองท้องกันที่เมืองโบราณ

เมืองโบราณลี่เจียง เมืองมรดกโลก
ตลอดสองข้างทางจะมีร้านค้าตั้งเรียงราย เมืองโบราณที่นี่ใหญ่และกว้างมาก ตรอกซอกซอยเยอะสุดๆ มีทางน้ำใสไหลผ่านเข้าในเมือง และเมืองโบราณลี่เจียงไม่มีกำแพงเมือง เพราะผู้นำเชื่อว่าถ้าสร้างกำแพงเข้าไป ความหมายจะเปลี่ยนไป กลายเป็นความหมายที่ไม่ดี ฮวงจุ้ยก็ไม่ดี 

ซึ่งการไปเดินเช้าๆ จะดีมากอย่างแรกคือนักท่องเที่ยวไม่เยอะ และการไปหาของร้อนๆอาหารเช้า ปาท่องโก๋ ซาลาเปา น้ำเต้าหู้ที่นี่คือมีหลายร้านมาก

ได้เวลาออกเดินทาง ลืมถ่ายไว้ให้ดูอยากให้มากๆ คือพวกเราไปกัน 6 คนใช่มั้ย กระเป๋าแต่ละคนก็หนักอยู่เราก็เข้าใจว่าได้สื่อสารกันดีแล้วว่าขอรถตู้เลย หรือรถคันใหญ่ๆ แนวๆ SUV ปรากฎว่าสิ่งที่ได้คือรถ 5 ที่นั่งจ้าา แต่พวกเราอัดกันไปได้ สุดมาก!!

ระหว่างทางก็แวะถ่ายดอกไม้ ทุ่งหญ้า ไปเรื่อย


Shika Snow Mountain (ภูเขาหิมะสือข่า)
ค่าเข้าคนละ  220 หยวน ให้คนขับรถชาวจีนซื้อให้ได้ราคาถูกกว่านี้

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมงก็ถึง Shika Snow Mountain (ภูเขาหิมะสือข่า) ที่แอบตกใจทำไมบรรยากาศเงียบเหงาคนละเรื่องกับที่ ภูเขาหิมะมังกรหยกเลย

แถวนี้เริ่มเห็นใบไม้เปลี่ยนสีแล้วคือกรี๊ดดดดมาก

Shika หรือ สือข่า ในภาษาทิเบตแปลว่า สถานที่อันอุดมสมบูรณ์ที่เต็มไปด้วยกวางสีแดง 

ขึ้นกระเช้าอีกเหมือนเดิม ทริปนี้ก็จะได้นั่งกระเช้ากันจนเบื่อไปข้างนึง ฮ่า

แต่กระเช้าที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นตรงที่ไปอย่างช้าๆ ให้เราได้ชมกับบรรยากาศสวยๆ สองข้างทาง

ใช้เวลานั่งกระเช้าหลายต่อมาก เกือบๆ  1 ชั่วโมงเลยนะ ด้านบนมีร้านอาหาร อย่าเรียกว่าร้านเลยเอาว่ามีแค่บะหมี่ร้อนๆ หมูย่าง ไส้กรอก น้ำดื่มขาย แต่อร่อยนะ

อิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินจ๊ะทุกคน โน่นด้านล่างโน่นคือที่เรานั่งกระเช้ามาไกลลิบๆ

แหงนมองทางแล้วหดหู่ ฮ่า แต่ดูไม่ค่อยมีคนจริงๆ นะ ทั้งที่ฟ้าเปิด แดดดี แต่อากาศด้านบนหนาวมากๆ ลมแรงด้วย

มีโครงไม้ให้พอกั้นลมได้บ้าง

สวยเลยนะเราว่า แต่สารภาพว่าเดินไม่ไหวเพราะหนาวมากๆ เสื้อผ้าที่ใส่ไม่ได้กันความหนาวได้มาก

เดินไปได้ครึ่งทางก็ถอดใจเราไปไม่ถึงขอบฟ้าาาาา เพลงก็มา แต่ก็ยังหัวเราะเริงร่าประหนึ่งไม่หนาวเล้ยยยย

บนนั้นเราเจอคนไทยหลายกลุ่มเลยนะ ต้องขอบคุณมากๆ ที่ถ่ายรูปนี้ให้พวกเรา หลังจากนั้นก็ลงไปขึ้นรถมุ่งหน้าตัวเมืองแชงกรีล่ากันต่อไป


แชงกรีล่า ( Shangri-La)

สถานที่ที่ทำให้เราอยากไปเที่ยวประเทศจีนที่สุดก็ที่แห่งนี้เลยค่ะ ดินแดนในฝัน “แชงกรีล่า” หรือชื่อเดิม “เมืองจงเตี้ยน” ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน เขตปกครองพิเศษของชาวทิเบตตี๋ชิง  ลักษณะภูมิประเทศของจงเตี้ยน เป็นที่ราบทุ่งหญ้า มีภูเขาล้อมรอบ คำว่า “จง” หมายถึงศูนย์กลาง ส่วน “เตี้ยน” นอกจากจะแปลว่าทุ่งหญ้าแล้ว ยังแปลว่า อาณาจักร ได้ด้วย ในปี พ.ศ 2545 รัฐบาลจีนได้เปลี่ยนชื่อเมืองจงเตี้ยนอีกครั้ง จากเดิมที่มีชื่อในภาษาทิเบตว่า “เจี้ยนถัง” เป็น “แชงกรี-ล่า” ภาษาจีนออกเสียงว่า เซียงเกอ หลี ลา (Xiang Ge Le La) แปลว่า ที่ซึ่งสุริยันจันทราประทับในดวงจิต เมืองจงเตี้ยนนั้นเป็นถิ่นฐานของชาวทิเบตซึ่งตามชานเมืองยังคงรักษาเอกลักษณ์ของบ้านที่ก่อดินขึ้นเป็นตึกสี่เหลี่ยม แต่งด้วยไม้ซุงขนาดใหญ่ ผู้คนยังแต่งกายชุดพื้นเมือง


Shangri-la Shangri-la Aged-tree Hotel

คนละ 282 บาท ต่อคืน

ที่พักของพวกเราคืนนี้ อยู่ตรงเมืองเก่าเลยค่ะ อยู่ใน เมืองเก่าตู๋เค่อจง (Dukezong Ancient Town) แบบเดินเล่นได้เลย

ห้องก็อุ่นดีนะมีฮีตเตอร์ที่เตียง

ห้องน้ำสะอาด น้ำไหลแรงดี

หลังจากนั่งพัก นอนพักกันพอหายเหนื่อยเราก็ออกมาเดินเล่นกัน

เมืองเก่าตู๋เค่อจง (Dukezong Ancient Town) โดนไฟไหม้เมื่อปี 2014 ทำให้ต้องสร้างบ้านเรือนขึ้นมาใหม่ เราไม่เคยเห็นภาพแบบเก่าว่าสวยแค่ไหนแต่ตอนนี้ก็สวยไปอีกแบบนะ สำหรับเพื่อนๆ ที่เคยไปมาแล้วต่างบอกว่าเสน่ห์มันหายไป

ช้อปปิ้งเสื้อผ้าแบบชาวธิเบตมีขายหลายร้านเลยนะ ต่อราคาได้

โรงแรมชิคๆ คาเฟ่เก๋ๆ ก็มีเยอะนะอย่างเช่นร้านนี้

ร้านขายเครื่องประดับน่ารัก

เดินออกไปลานหน้าวัดมีชุดพื้นเมืองให้เช่าถ่ายรูปในราคา 20 นาที 20 หยวน

เราไม่ได้เช่านะ แต่เจอคนไทยใส่กันเยอะเลยขอถ่ายรูปหน่อย

 

วัดกุยชาน (Guishan Temple) หรือวัดต้าฝอ ที่คนไทยชอบเรียกกัน ประมาณ 1 ทุ่มที่วัดมีจัดแสดงแสง สี ชุดใหญ่ไฟกระพริบ สวยงาม อลังการมาก

หากใครมีแรงก็อยากให้ขึ้นไปชมความสวยงามของวัดกัน แต่แม่เห็นบันไดก็ท้อแท้แล้ว

ดูโชว์จบไปหาของอร่อยทานกันดีกว่ามีให้เลือกหลายร้านเลยนะ

เดินไปเจอร้านที่มีอาหารไทย และคราฟเบียร์เต็มตู้ จัดสิจ๊ะรออะไร ทั้งกระเพรา ผัดพริกไก่ ข้าวดีมากกกเหมือนข้าวญี่ปุ่นเลย

ไม่อิ่มก็ออกมาหานมจามรีอุ่นๆ ดื่มกันต่อ มันเผาก็มีนะ

___________________________

   DAY  4  Shangri La – Riwa

เช้านี้พร้อมเดินทางไกลมากจากข้อมูลถ้าขึ้นรถบัสจากแชงกรีล่าไปเมือง Riwa คือใช้เวลาประมาณ  9 – 11 ชั่วโมง แต่เราเดินทางโดยรถส่วนตัวเดี๋ยวมาดูกันว่าพี่เค้าจะซิ่งแค่ไหน ก่อนเดินทางจัดขนมปังกับน้ำเต้าหู้อุ่นๆ รองท้องก่อน

นี่คือโฉมหน้าคนขับรถของเรา นางซิ่งมากกกก ดูเถอะเรา 6 คนกับสัมภาระเยอะสิ่งแต่ไปได้นะ 

ทางก็จะเป็นแบบนี้เหมือนค่อยๆ ขับไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ 

จอดแวะชมวิวสวยๆไปเรื่อยๆ บางที่ก็สวยนะแต่เราก็ค่อยอยากจะลงแล้วเพราะทั้งหนาว  และแบบนั่งได้ที่แล้วลุกแล้วต้องกลับมาจัดระเบียบกันใหม่ ฮ่า

สหายผู้ร่วมทางของข้า

ระหว่างก็เจอใบไม้เปลี่ยนสีก็ลงถ่ายรูปกรี๊ดกร๊าดกันไป

“เส้นทางที่เราจะมุ่งไป เรื่องราวมากมายในชีิวิต”
เพลงพี่เสกก็มา แต่ของจริงคือนางเปิดเพลงแรปจีนนะ ฟังเพลินๆ ได้อยู่ แต่ไม่ชอบคนขับของเราที่สุดเรื่องเดียวคือนางสูบบุหรี่จัดมากกกก แถมยังขับรถไปสูบไปอีก เหม็นตลบแทบสลบกันทั้งคัน

เราไปถึงเมือง Riwa กันไวมาก ไวกว่าที่คิด แดดยังเปรี้ยงๆอยู่ดีพี่แกซิ่งมากก  ใช้เวลาไปทั้งหมดประมาณ 6 ชั่วโมง

Riwa Town Luoke
คนละ 473 บาทต่อคืน

ที่พักดูดีอยู่นะมีที่จอดรถกว้างขวาง

มุมอาหารเช้าน่ารักมาก

เป็นคืนแรกที่มาถึงที่พักเร็วมีเวลาถ่ายรูปหน่อย

ห้องมีแบบ 3 คน และ 2 คน ห้องสีขาวสบายตา ตกแต่งอย่างกับอยู่ทะเล

ห้องนี้สวยราคาแพงกว่าแบบ  3 คน

ห้องน้ำสะอาด น้ำไหลแรง

พาไปทัวร์ Riwa กันหน่อย 

เป็นเมืองเล็กๆ ที่ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นนักท่องเที่ยว

มีอนุสาวรีย์ตั้งอยู่ตรงกลาง

ร้านอาหารเมืองนี้เยอะมากๆ หลากหลายแนว มีร้านสระไดร์ด้วยนะ เผื่อใครอั้นไว้ไม่ได้สระผมหลายวัน (แบบเรา แฮ่)

โปรดสังเกตว่าห้อยอะไรไว้ เห็นทัวร์มาลงคึกคักมาแต่แม่ขอบายละกัน ขอไปกินข้าวผัดเหมือนเดิม

________________________

DAY  5  Yading National Park

ได้เวลาแล้วสินะ! การเดินทางที่เราตั้งใจเช้านี้เราออกจากที่พักตอน 7 โมงเช้า คนขับรถจะขับมาส่งจุดนี้เราต้องไปซื้อตั๋วเข้าอุทยานกันที่นี่

ราคาตั๋วเข้าอุทยานคนละ 266 หยวน 
แนะนำให้เผื่อเวลาเพราะคนเยอะมาก

ได้ตั๋วแล้วก็เดินไปขึ้นรถบัส รถเยอะไม่ต้องรอนาน และนี่คือทางที่เรากำลังจะไปกัน 

ตอนอยู่บนรถคือตื่นเต้นทุกนาที เมื่อเริ่มเห็นยอดเขา

จุดที่เราจะไปลงคือ Bus stop no.3 ซึ่งจะรถบัสจะจอดเป็นจุดๆ ไปเราลงจุดนี้เพราะว่าจองโรงแรมที่นี่ไว้ แล้วเอากระเป๋าฝากโรงแรมไว้ก่อน

Yading Fanyinhai Boutique Inn
คนละ 1,015 บาท ต่อคืน

เป็นที่พักที่ราคาแพงที่สุดในทริปนี้ เจ็บใจมากตรงที่ไปเจอน้องคนไทย น้องบอกว่าไม่ได้จองมา walk  in เลยได้คืนละ 1,000 บาท ตกคนละ 500 เอ๊ง แต่เอาเถอะซื้อความสบายใจว่าไม่ต้องเสียเวลาเดินหาละกัน ปลอบใจตัวเอง

ห้องเราวิวดีเลยนะเป็นเห็นยอดเขาทางหน้าต่างเลย 

ห้องน้ำก็สะอาด

วิวหน้าโรงแรมดีมากก

มานั่งจิบชามุมนี้นึกว่ายุโรป

ดื่มด่ำกับความสวยงามแค่ไกลๆ ไม่ได้ เราต้องเดินทางกันจริงๆ แล้วล่ะ ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกัน 2 เส้นทางคือ

เส้นทางที่ 1 เดินเทรลรอบทะเลสาบไข่มุก 5 กิโมเมตรแบบวนรอบ
เส้นทางที่ 2 เดินเทรลทะเลสาบน้ำนม และทะเลสาบ 5 สี ระยะทางไปกลับ 12 กิโลเมตร

กลุ่มเราตัดสินใจว่าวันแรกก็ยาว ๆ ไปเลยให้จบๆ ไป หลังจากนั้นก็ขึ้นรถบัสจากหน้าโรงแรมเพื่อไปลงยังจุดนี้

เดินไปขึ้นรถแบตเตอรี่กันทางนี้ ไม่ไกลค่ะไม่กี่ร้อยเมตรเอง

อุทยานย่าติง เป็นสถานที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามทางธรรมชาติของจีน ตั้งอยู่ที่ความสูง 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ในเขตเมืองเต้าเฉิง มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกของประเทศจีน ปัจจุบันถูกจัดตั้งเป็นพื้นที่อนุรักษ์ ภายในอุทยานมีจุดชมวิวมากมาย และสามารถท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่แนะนำคือ ช่วงฤดูใบไม้ร่วงประมาณเดือนกันยายน – พฤศจิกายน เพราะเราจะได้เห็นป่าเป็นสีส้มเหลืองของใบไม้เปลี่ยนสี

ภาพแบบนี้ทำให้หายเหนื่อยเลย

วันที่เราไปใบไม้ยังเปลี่ยนสีไม่เต็มที่แต่ก็สวยไปอีกแบบนะ

จุดซื้อตั๋วรถแบตเตอรี ไป-กลับ คนละ 80 หยวน 

นั่งคันนี้ชิลล์ๆ ไปเลย 

และแล้วก็ได้เวลาแล้ว!  ในใจแบบยังไม่อยากลงเลย ขอไปต่อได้มั้ยยยย

ทุ่งหญ้าลั่วหรง (Luorong Pasture) 
เป็นทุ่งหญ้าเปลี่ยนสีขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยภูเขา ซึ่งจะมีความสวยงามแตกต่างกันไปตามฤดูกาลต่างๆ เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม

สะพานเดินสวยๆ เหมือนเดินเล่นสวนหลังบ้านใช่มั้ย

โพสต์ท่า! ก่อนที่ขากลับจะหมดสภาพ ใช่ค่ะ! แม่แบกเฟอร์ขนาดนี้แต่แม่รอด และเฟอร์ช่วยชีวิตจริงๆ ข้างบนหนาวมาก

จุดพักเหนื่อยก่อนที่จะเจอด่านต่อไป

นี่คือทางที่เพิ่งผ่านพ้นมา

ใครท้อแท้แล้วก็ขี่ม้าได้นะ แอบจำราคาไม่ได้

แต่เดินเหอะ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง

คือแบบมันสวยมาก สวยไปหมด สวยกว่าในรูปเยอะมากๆ เป็นว้าวตลอดทาง

บันไดสวยๆ หมดไปก็จะเริ่มเป็นทางแบบนี้

เจ้าบ่าวเจ้าสาวเขาขึ้นไปถ่ายพรีเวดดิ้งกัน สุดยอดมากในการที่ต้องพาตัวเองและชุดที่พะรุงพะรังแบบนี้

มีห้องน้ำเป็นระยะๆ ไม่ต้องห่วง 

เริ่มชันเรื่อยๆ ซึ่งกลุ่มเราคุยกันว่าจะไปกินข้าวเที่ยงที่ทะเลสาบน้ำนม เราจะไม่แวะข้างทางนะจ๊ะ ใครเดินไม่ถึงอดกินข้าวนะ

จากใจ ณ ตอนนั้น คือเห็นจุดนี้แล้วท้อแท้มากหิวด้วยได้แต่กินน้ำ ขนม ที่พกมาไปเรื่อยๆ

พอยืนมองกลับไปแล้วแบบเดินมาได้ยังไง

ตรงนี้จะเป็นทางแยกระหว่างไป ทะเลสาบน้ำนม 1km. ด้านซ้าย ทะเลสาบ 5 สี ด้านขวา 750km. ซึ่งมองแล้วด้านขวาชันมากกกกกก

แนะนำให้ไปทะเลสาบน้ำนมก่อนดีกว่านะแล้วค่อยเลี้ยวไป 5 สี

ลิบๆ โน่นยังมองไม่เห็นปลายทางเลย

และแล้วเราก็มาถึงงงงงง

ทะเลสาบน้ำนม (Milk Lake) 
1 ใน 3 ทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของย่าติงกับสีฟ้าน้ำนม โดยเป็นทะเลสาบที่อยู่บนยอดเขาสูงระดับ 4,500 เมตร  ถ้ามีเวลาอยากให้เดินสำรวจรอบๆ ทะเลสาบเพราะจะได้มุมมองอื่นๆ ที่สวยแตกต่างกัน

เรามาถึงกันประมาณบ่าย 3 ซึ่งถึงว่าค่อนข้างช้า มาถึงก็อ่อนแรงขอนั่งมองรอบๆ ตัวให้หายเหนื่อยก่อน

มื้อเที่ยงที่เหมือนจะใกล้เย็น ทุกคนจะหิ้วสิ่งนี้มาด้วยคือข้าวกล่อง เป็นนวัตกรรมที่เจ๋งมากเหมือนเข้าค่ายลูกเสือแล้วหุงข้าวในป่าเลย  ฉีกซองใส่น้ำ ข้าวสุกก็กินได้

อิ่มท้องแล้วขอไปเฉียดฉายในทะเลสาบ รูปนี้ที่เห็นว่าทำไมดูไม่มีคนเลยก็เพราะพวกเราอยู่เกือบท้ายๆ แล้วค่ะ ถ้าอยากได้น้ำสวยๆ ให้รอแดดเปรี้ยง

อิ่มท้องแล้วได้เวลาเดินต่อ เบื้องหน้าเรายังอีกยาวไกล

มุ่งหน้าไปยังทะเลสาบ 5 สี อีกแค่ 450ม.  ด้วยความที่เพิ่งอิ่มและพักเหนื่อยนานพอสมควรทำให้ 450 ม.ที่ค่อนข้างชันนั้นพวกเราก็ทำเวลาไม่นาน

ทะเลสาบน้ำนมที่เพิ่งจากมา

มุมนี้นั่งพักเหนื่อย 

ทะเลสาบ 5 สี (5 Color Lake) 
ทะเลสาบแห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของภูเขา Xian nai ri รอบๆ ทะเลสาบจะมีกองหินสวดมนต์ และประดับด้วยธงอธิษฐานหลากสีของชาวทิเบต เอาจริงๆ นะ มองยังไงให้ได้ 5 สี หรือมุมสูงน่าจะเห็นชัดเจน โดยก็สวยมากจริงๆ นะ

เราไม่ได้เดินลงไปถ่ายด้านล่างนะ มุมนี้ก็เก็บทะเลสาบได้หมด

อยู่กันยันแสงไม่ค่อยมีก็ต้องรีบแล้วล่ะ เพราะรถแบตเตอรีหมดตอน 18.30 น.

ขากลับนี่แทบวิ่งเลยกันเลยทีเดียว

ขากลับแดดส่องต้นไม้พอดี รู้สึกว่าสวยกว่าตอนขาไปอีกใบไม้เปลี่ยนสีชัดเจนมาก

สวยอย่างกับภาพวาด

เราดูเป็นผู้หญิงตัวโลกในโลกใบไม้ท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสี

ข้อดีของการเดินตอนเย็นอีกอย่างคือ น้องกวางลงมาเล่นใกล้ๆ เลย ตอนขาไปก็เห็นน้องนะแต่ไกลลิบๆ 

นี่ลงมาแบบไปเซลฟี่ได้เลย

มองความสวยงามให้เต็มตา  มีน้ำตกด้วยนะ

ซูมไปดูใกล้ๆ

พวกเราเดินไปถึงรถแบตเตอรีประมาณ 18.20 น. แต่ก็ยังมีกลุ่มอื่นๆ รั้งท้ายอยู่นะคะ ส่วนมื้อเย็นฝากท้องไว้ที่โรงแรม อาหารอร่อยมากกกก เป็นโรงแรมที่พูดภาษาอังกฤษได้ อาหารก็เอาใจคนไทยสุดๆ ไข่เจียวอย่างอร่อย จ่ายไปคนละ ไม่ถึงร้อยเองถูกมาก

คืนนั้นก็สลบสไลกันไปตามๆ กัน 

_______________________________

DAY  6  Yading National Park

เมื่อวานผ่านเส้นที่ยาวไกลมาได้ดังนั้นวันนี้ก็ยิ่งเหมือนเดินเล่นสวนหลังบ้านนั่นแหละ เราเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่จุดบริการค่าฝากใบละ 35 หยวน

เส้นทางวันนี้เมื่อแม่ไข่มุกจะไปเยือนทะเลสาบไข่มุกและไปยืนดูยอด Xiannai Ri สูง 6,032m.  แบบใกล้ๆ

ชอบความลำธารสวยๆ ของเส้นทางนี้มาก

อยากถ่ายรูปหมู่แต่หันไปหันมาไม่มีใครถ่ายให้งั้นถ่ายเงาละกัน น้ำใสมากเลยค่ะ

วัดชงกู่ Chonggu Temple

หรือวัดทิเบต ตั้งอยู่บนความสูง 4,000 ม. เรียกว่าเป็นจุดแรกที่ต้องแวะในเส้นทางนี้ เป็นวัดที่ฉากหลังสวยมากจุดประสงค์ในการสร้างวัดแห่งนี้ ก็เพื่อบูชาภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามแห่งนั่นเอง อย่าลืมเดินเข้าไปในวัดด้วยล่ะ

นี่มโนว่าตัวเองเดินเล่นในป่าหลังบ้านแล้วสามารถเก็บผลไม้กินได้เหมือนละครจักรๆ วงศ์ๆ 

เป็นวัดที่สวยมาก

อย่าลืมเดินเข้าไปไหว้พระด้านในวัดด้วยนะ

หลังจากนั้นก็เดินออกไปทางหลังวัดระยะทางไปทะเลสาบไข่มุกแค่ 850 เมตรเอง เบาๆ เนอะ

ป่าสนหลังวัดก็สวยนะ

ทางก็ประมาณนี้

จริงๆ ตรงนี้ต้องมีน้ำเหมือนทะเลสาบเล็กๆ นะ แต่ช่วงที่ไปน้ำแห้งหมดเลยเห็นนักท่องเที่ยวลงไปเดินข้างล่างกันเยอะ

อย่าลืมเดินไปฝั่งตรงข้ามนะคะ จะได้อีกมุมที่สวยงาม

เดินเล่นไปช้อปปิ้งไปด้วยมีของวางขายเรียงๆ กันเต็มไปหมด

บอกเลยว่าเราใส่บู๊ทขนาดนี้ยังเดินได้ เส้นทางนี้ใคร ๆก็เดินได้ ยังคิดถึงเมลลี่เลยถ้าพาลูกมาด้วยคงจะดีเพราะเส้นนี้ลูกต้องชอบเดินง่ายด้วย

เดินไปเรื่อยๆ ก็ถึงแล้ว


ทะเลสาบไข่มุก (Pearl Lake)

หรือ Zhuoma la lake เป็นทะเลสาบที่อยูในหุบเขาที่ความสูง 4,150 เมตรเป็นทะเลสาบเล็กๆสีเขียว ใสเหมือนมรกต ถูกเรียกอีกนามว่า เป็นทะเลสาบคู่ภูเขาหิมะศักดิ์สิทธิ์ 

จุดที่ต้องถ่ายรูป และต้องช่วงชิงให้ไวเพราะใครๆ ก็ต้องไปถ่ายมุมนี้

เบื้องหลังคือผู้คนมามากมายที่มารอถ่ายรูปมุมนี้

อ่ะได้เวลาพักกินข้าวเที่ยงจ้า ตรงจุดนั้นมีศาลาให้นั่งพักด้วยนะแต่คนเต็มพวกเราก็เลยมานั่งตากแดดหาไออุ่นถือว่ามาปิกนิคกัน อาหารก็เหมือนเดิมนวัตกรรมไฮโซนั่งรอข้าวสุกสวยๆ ไป

อิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินต่อมุ่งหน้าไปยังยอด Xiannai Ri เดินประหนึ่งพรมแดง

บางคนอาจจะไม่อยากเดินมาจุดนี้บอกเลยว่าคุณจะพลาด เพราะสวยมากๆ มีมุมให้นั่งชมยอดเขาชัดๆ ด้วย

นั่นหนูน้อยหมวกแดงกำลังนั่งจกอะไรนะ

วันนี้พวกเราทำเวลาได้ดีมากเดินชิลล์ๆ ไม่กี่ชั่วโมง หลังจากนั้นบ่าย 3 ก็นัดคนขับรถให้มารับจุดเดิม อ้อ! ตรงจุดลงรถบัสมีเบอเกอร์คิงด้วยนะ

Daocheng Harvest Inn
คนละ 329 บาท ต่อคืน

คืนนี้เรากลับมานอนโรงแรมที่เต้าเฉิง ดูจากด้านนอกเป็นโรงแรมที่เก๋มาก มีมุมอุ่นๆ ฟังเพลงเพราะๆ ด้วยนะเออ แต่จะบอกว่าในตึกอย่างหลอนนี่ถ่ายหนังผีได้เลยนะ ไฟก็ไม่ค่อยจะเปิดเดินแล้วยังเสียวสันหลัง

ห้องนอนก็ตามราคาอุ่นดีนะ

แต่ห้องน้ำ น้ำไหลอย่างกะฉี่จ้า  และเป็นที่พักแรกในทริปนี้ที่ห้องน้ำแบบยองๆ ทั้งตึกนอนอยู่ 4 ห้องมั้ง อย่างหลอน 

 

แต่พอตอนเช้าก็ดูปกติดี มีแกะตัวใหญ่เฝ้าด้านหน้า

ที่เต้าเฉิงมีเหมือนคอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ (จำชื่อไม่ได้ตอนนั้นหิวจัด) มีร้านอาหารหลากหลายดี มีร้านให้ช้อปปิ้งด้วย และที่สำคัญมีเค้กให้กิน อ๊ากกกกสิ่งนี้ที่รอคอย

__________________________

 

DAY7  Daocheng – Shangri La

วันนี้นั่งรถยาวๆ  แต่ไม่ยาวเท่าวันแรกแล้วล่ะเพราะว่าเราได้พักที่เต้าเฉิงเมื่อคืนก็เหมือนได้ร่นระยะทางไปหน่อย

ตอนขาไปไม่ได้ถ่ายกับน้องๆ เลย ขากลับเลยจัดสักหน่อย แต่ดูเหมือนน้องไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก

วันนี้ก็ไม่มีอะไรมากมาถึงแชงกรีล่าเร็วหน่อยมีเวลาได้พักผ่อนกันบ้าง

Shangri-la Asha’s Inn
คนละ  393 บาท ต่อคืน

ที่พักและคาเฟ่เก๋ๆ ในแชงกรีล่า ซึ่งเรากลับมานอนที่แชงอีกคืนแต่ก็เปลี่ยนที่พักด้วยเพื่อบรรยากาศที่ดี ฮ่า

ที่นี่สวยเลยนะ

ห้องดีมาก

 

แต่ห้องน้ำไม่มีประตูจ้าาาาา มีเพียงม่านปิดเบาๆ เวลาจะถ่ายหนักก็ต้องให้เพื่อนออกไปก่อน ฮ่า

ด้านหน้ามีต้นแอปเปิ้ลเขียวด้วย

หลังจากนั้นตอนเย็นก็กลับไปเดินเล่นในเมืองเหมือนเดิมเก็บตกร้านที่วันก่อนไม่ได้เข้า

_____________________________ 

DAY 8  Shangrl La – Lijiang – Kunming

เช้านี้ตื่นมาแต่งตัวประหนึ่งอยู่เกาหลี ทั้งที่หนาวมาก เพื่อ!! เออนั่นสิเพื่อ !! 555 ก็ขนชุดมาแล้วไงไม่ใส่เดี๋ยวเสื้อผ้างอน 

เก็บตกที่เที่ยวในแชงกรีล่าอย่างเช่นวัดดังที่ต้องไป

วัดซงจ้านหลิน ( Songzanlin Temple)

อยู่ออกนอกตัวเมืองไปหน่อย เสียค่าเข้าคนละ 60-100 หยวน แล้วแต่ฤดูกาล เป็นวัดที่สร้างจำลองมาจาก พระราชวังโปตาลา (Potala) ในกรุงลาซา (Lhasa) ของทิเบต  ใหญ่โต อลังการมาก เดินขึ้นไม่ไหวขอถ่ายภาพแต่ไกลๆ ละกันค่ะ

จริงๆ ช่วงที่เราไปเหมือนจะเป็น low season  เพราะจากรูปที่ดูมาก่อนนั้นมันต้องไม่มีป่ารกแบบนี้สิ!

สะพานก็ค่อนข้างชำรุดแทบไม่กล้าเดิน

แต่ช่วงหน้าหนาววัดนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะก็สวยไปอีกแบบ ไม่อยากจะคิดว่าถ้าหิมะตกจะหนาวขนาดนั้น จำได้ว่าวันนั้นก็สั่นสุดๆ

เก็บตกมื้ออร่อยที่แชงกรีล่าด้วยร้านมีซี่โครงหมูทอดดดดด อร่อยมากกกกก ถึงกับเบิ้ล 2 

นั่งรถกลับมาที่ลี่เจียงเหมือนเดิมก่อนจะขึ้นรถไฟกลับคุนหมิงก็พามาเดินตลาดเย็นกันหน่อย อยู่แถวๆ เมืองโบราณนั่นแหละค่ะ

ของกินเยอะมาก

ผลไม้ก็ขนกันมาเป็นรถแบบนี้

น้ำผึ้งที่ได้ซื้อมาชิม 10 หยวน หวานมากกกก

 

ได้เวลาบ๊ายบายลี่เจียงรอบนี้เราไม่ได้ขึ้นรถไฟนอนแล้วนะ เราเลือกเป็นรถไฟความเร็วสูงแทนใช้เวลา 3 ชั่วโมง คนละ 1,035 บาท 

ในตั๋วมีระบุที่นั่ง

เร็วจริงนะ 197km/h

เมื่อรถไฟมาถึงลี่เจียงเดินออกมาจะมีป้ายไปสนามบิน ซึ่งสามารถเดินไปขึ้นรถได้เลยคนละ 25 หยวน ใช้เวลาเดินทางถึงสนามบินประมาณ 40 นาที

แนะนำของฝากที่สนามบินเป็นขนมซากุุระหลากรสชาติ ซื้อ 5 แถม 1 

ขึ้นเครื่องกลับ 02.00 – 03.15  FD 585  Kunming –  Don Muean ถึงเช้าพอดี ใครลางานไม่ได้ก็ไปทำงานกันต่อจ้า

สรุปค่าใช้จ่ายทริปนี้ **ไม่รวมตั๋ว 
1.ค่าที่พัก 6 คืน =  2,810 บาท
2.ค่ารถไฟ 741 + 1,035  = 1,776 บาท
3.ค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว = 3,680  บาท
4.ค่าเช่ารถ รถเมล์ รถบัส แท็กซี่ = 4,600 บาท
5.ค่าอาหาร ประมาณ 2,000 บาท
รวมกลม ๆ 14,866 บาท

*ราคาทุกอย่างอาจะมีการเปลี่ยนแปลงตามค่าเงิน
** ออกซิเจนของเราเหลือตั้งใจจะเอากลับมาไทยแต่โดนยึดตั้งแต่ที่สถานีรถไฟลี่เจียง ดังนั้นไม่ต้องซื้อเยอะเอาแค่พอใช้

ปลายทางบางทีก็ไม่สำคัญ…เท่าเราไปกับใคร
ทริปแห่งความสนุกกับสหายรู้ใจ #แท็กชวนเพื่อน แล้วจองตั๋วเลย https://www.airasia.com

ใส่ความเห็น