มาเลเซีย ประเทศที่ต้องไปซ้ำ และนี่ถือเป็นครั้งแรกของเมลลี่ แต่หลายครั้งของพ่อกับแม่ ทำไมถึงไปหลายครั้ง? บอกเลยว่าที่เที่ยวมาเลเซียเยอะมาก หลากหลายแนวด้วยทั้งทะเล ภูเขา วัฒนธรรม อาหารการกิน ทริปนี้เราจะขอพาไปเที่ยวฉบับคนมีลูกว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง ซึ่งเราจะเน้นไปที่ Sabah ชื่อนี้อาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่ถ้าพูดถึงเกาะบอร์เนียว โคตาคินาบาลู หลายคนคงร้องอ๋อออกันแล้วใช่มั้ยคะ งั้นเก็บกระเป๋าตามครอบครัวเราไปกันเลย
รู้จัก Sabah?
Sabah (ซาบาห์) เป็นรัฐที่มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศมาเลเซีย มีเมืองหลวงชื่อว่า โคตาคินาบาลู ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว
ข้อควรรู้ก่อนไปประเทศมาเลเซีย
– ประเทศมาเลเซียไม่ต้องขอวีซ่ามีเพียงพาสปอร์ตก็สามารถเดินทางได้แล้ว
– เวลาเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง
– ค่าเงิน 1 ริงกิต ประมาณ 7 บาท (ตรวจสอบอีกครั้ง)
– ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม
ทริปนี้เราจะพาไปเที่ยวหลากหลายแนวมาก ครบรสชาติทั้งทะเล และภูเขา แพลนดังนี้ค่ะ
Day 1
– ออกเดินทางถึงซาบาห์
– เช็คอินโรงแรม Grandis
– เดินเล่นริมทะเล
Day 2
– Mari Mari Cultural Village
– Sabah Street Art Gallery
Day 3
– Manukan Island (Over night)
Day 4
– Poring Hot Spring for Canopy Walk
– Sabah Tea Garden
– Desa Castle Farm
– Kinabalu Park
Day 5
– Gaya Street
– กลับกรุงเทพฯ
เดินทางสะดวกสบายด้วยสายการบินแอร์เอเชีย บินคุ้ม คุณภาพครบ ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง สำรองที่นั่งได้ที่ https://www.airasia.com/booking/home/th/th
หลับไปตื่นนึง ลืมตาก็เห็นทะเล เกาะแก่งเต็มไปหมด สวัสดีซาบาห์แม่มาแล้วววว
ทริปนี้แม่ไข่ใช้ซิมของ AIS ส่วนคุณพ่อใช้ซิม local มีขายเจ้าเดียวค่ะ ยี่ห้อนี้ 5 วัน 200 บาทเอง เนตเร็วใช้ได้นะ
สำหรับทริปนี้แม่ไข่รวบรวม 10 จุดเช็คอิน ซาบาห์ ฉบับพาลูกเที่ยวได้ไม่ลำบากมาฝากเพื่อนๆ ดังนี้ค่ะ
Grandis Hotel
โรงแรมที่เราพัก 2 คืน จัดเป็นโรงแรมโลเคชั่นดีมาก วิวทะเล ใจกลางเมืองไม่ไกลจากสนามบินค่ะ
เราพักห้องนี้จัดไปเลยคนละเตียงแบบไม่ต้องแย่งกัน ฮ่า ห้องกว้างมากกกกกก
ห้องน้ำพร้อมอ่างอาบน้ำที่เมลลี่ชอบ
สามารถไปเดินเล่นริมทะเลได้
Sky Blu Bar เป็นบาร์ที่เหมาะแก่การนั่งชิลล์ชมวิวพระอาทิตย์ตก คือดีมากก ลมพัดเย็นสบายด้วยค่ะ
จริงๆ สระว่ายน้ำของโรงแรมก็สวยนะคะ ว่ายน้ำชมวิวทะเลเช่นกัน แต่วันที่เราไปปิดรีโนเวท
อาหารเช้าที่ Rosea cafe อาหารละลานตาไปหมด
สำหรับใครที่อยากจะพักในเมืองเช็คอิน Grandis ไม่ผิดหวัง ราคาเริ่มต้น 2000 ต้นๆ ค่ะ http://goo.gl/dxgnBX
Sabah Street Art Gallery
อีกหนึ่งมุมถ่ายรูปสนุกและลูกยังได้ความรู้ด้วย
Sabah street art อยู่ตรงข้ามห้าง Suria Sabah เป็นงานแสดงศิลปะผ่านเสา บอกเล่าเรื่องราวของสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่
Kampung Nelayan Seafood Restaurant
ร้านอาหารซีฟู้ดชื่อดังที่บอกเลยว่าต้องไปชิมสักครั้ง น่าเสียดายที่เราไปมืดค่ำแล้ว อดเก็บภาพรอบๆ ร้านมาฝากเลยค่ะ ซึ่งร้านนี้จะมีหลายโซนมาก
เดินเข้าไปในร้านก็จะตื่นตาตื่นใจกับซีฟู้ดสดๆ
เป็นร้านที่คนเยอะมาก และเมนูก็เยอะเลือกไม่ถูก ใครสายปิ้งย่าง ชาบู ร้านนี้ก็มีด้วยนะ
บนโต๊ะนี้อร่อยทุกอย่าง สดจริง
และมีโชว์ให้ชมด้วยค่ะตอน 2 ทุ่ม เพลิดเพลินกันไป
และการแสดงก็ให้ผู้ชมมีส่วนร่วมด้วยค่ะ อย่างการแสดงอันนี้เป็นการเอาไม้ไผ่มากระทบกันเป็นจังหวะ คล้ายๆ บ้านเรานะก็มี แม่ไข่ขึ้นไปร่วมกิจกรรมด้วยค่ะสนุกดีนะ
Mari Mari Cultural Village
หมู่บ้านชนเผ่าพื้นเมืองของมาเลเซีย มีบ้านจัดแสดงทั้งหมด 12 หลัง บอกเลยว่าที่นี่ต้องมีเวลาสักครึ่งวันนะ
เดินเข้าไปจะเจอกับสะพานเข้าหมู่บ้านก่อนค่ะ
บ้านแต่ละหลังเราจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตของ 5 ชนเผ่า ผ่านประเพณีวัฒนธรรมการอยู่ การกิน ซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
ได้แก่
1. Kadazan-Dusun ชนเผ่าที่โดดเด่นด้านการทำนาปลูกข้าว
2. Rungus ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ร่วมกันหลายครอบครัว
3. Lundayeh ชนเผ่าที่ถนัดด้านการล่าสัตว์และประมง
4. Bajau มีลักษณะคล้ายกับคาวบอยและยิปซี
5. Murut นักล่าหัวคน หรือนักรบนั่นเอง
เริ่มตั้งแต่หลังเล็กสำหรับครอบครัวเล็ก จนถึงครอบครัวใหญ่ที่มีหลายห้องอย่างบ้านหลังนี้ค่ะ
มีขนมให้ชิมด้วยนะ อร่อยทุกอย่างเลย
หลังนี้เป็นบ้านสำหรับงานแต่ง ก็จะจัดแบบนี้ค่ะ สีสันสวยงาม
การละเล่นประจำบ้าน กระโดดเด้งๆ สนุกดีนะ บางคนกระโดดได้สูงถึงเพดานเลย
บ้านหลังสุดท้ายมีการแสดงให้ชมด้วยค่ะ
Mari Mari Cultural Village
เปิดบริการ : 10.00 – 18.00 น.
Manukan Island
“มานะกาน” เป็นเกาะที่ใหญ่อันดับ 2 ในบรรดาเกาะต่างๆ ของอุทยาน การเดินทางไปเกาะสามารถ ซื้อ Day trip จากท่าเรือมีให้บริการหลายเ
เรือลำนี้เลยค่ะที่จะพาเราไป
ถึงเกาะแล้วต้องจ่ายค่าเนียมอีกคนละ 25RM เด็ก 15 RM (ทัวร์บางเจ้าบวกราคาไปแล้ว
โอ๊ยยยยตายยละลายไปเลยกับน้ำใสๆ บริเวณท่าเรือ
บนเกาะมีที่พักแห่งเดียวชื่อว่า Sutera Sanctuary Lodges
มีบ้านพักทั้งหมด 27 ห้อง เช็คอินได้ตั้งแต่ 14.00 น. และเช็คเอ้าต์ 12.00 น.
หลังนี้เป็นของครอบครัวเราเอง ดูจากหน้าบ้านอาจจะเฉยๆ แต่พอเปิดประตูเข้าไปว้าววมากก
เปิดประตูเข้าไปจะเจอกับห้องรับแขก ขนาดใหญ่รองรับได้หลายคน
ถัดมาเป็นโต๊ะอาหาร มุมครัว
บ้านหลังนี้มี 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ห้องนี้เป็นห้องใหญ่ค่ะ มีพี่หมีคุมอยู่
ห้องน้ำในห้องใหญ่ตกแต่งได้น่ารัก
ห้องเล็กเหมาะสำหรับบ้านที่มีลูก 2 คน
ตกแต่งเอาใจเด็กสุดๆ กับตุ๊กตาน้องหมาบนเตียงคนละตัวแบบไม่ต้องแย่งกัน
พักผ่อนให้สบายใจก่อนที่จะออกไปเล่นดินเล่นทรายในตอนเย็น
ความพิเศษของเกาะนี้คือ เราสามารถเห็นโลมาได้จากหน้าหาดค่ะ เมลลี่กำลังไปยืนรอ ซึ่งเราได้เห็นกัน 1 ตัว ขนาดเท่าเมลลี่เลยแต่ไม่สามารถถ่ายรูปทัน
ตัวประมาณนี้เลย
“แม่ๆ นั่น เจลลี่ฟิช”
เสียงเมลลี่ตื่นเต้นยกใหญ่กับการเจอเจ้าสิ่งนี้
บนเกาะมีจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สามารถเดินไปชมได้หลังหาดแต่ว่าค่อนข้างชันและใช้เวลาเดินประมาณ 40 นาที ครอบครัวเราขอบายมายืนชมแสงสวยๆ แทนละกัน
มื้อเย็นสุดพิเศษ ^^
บาบีคิวริมทะเลคือดีมากกก
มีดนตรีมาเล่นให้ฟังด้วยนะ
หากมีเวลาอยากให้เพื่อนๆ ไปพักบนเกาะสักคืนตื่นมาจะฟินมากก
Canopy Walk
างเดินบนยอดไม้อยู่ที่เดีย
สำหรับค่าบริการนอกจากตั๋วเ
เมลลี่เดินได้สบายๆ
เด็กน้อยผู้ไม่กลัวความสูง ซึ่งเส้นแรกๆ ก็จะสบายๆ แต่พอสุดท้ายนี่คือหวาดเสียวสุด ยาวสูด สูงสุด
Sabah Tea Garden
เป็นร้านอาหารชมวิวไร่ชา นักท่องเที่ยวต้องแวะเพราะเป็นทางผ่านขึ้นไป โคตาคินาบาลู
มีกาสีขาววิบวับ โดดเด่นหน้าร้าน
เมื่อไปดูใกล้ๆ จึงพบว่านี่มันเกาหลี เอ๊ย! พวงกุญแจคู่รักนี่
บรรยากาศก็ดีอยู่นะคะ ถ้าหน้าหนาวคงฟินไม่น้อย
เมนูแนะนำ เครปชาเขียว ราดน้ำผึ้งหน่อยก็อร่อยดีนะ
มีบ้านต้นไม้ให้เดินด้วยแต่เสียค่าบริการตั้ง 28RM สำหรับ 3 คน แพงไปนิดนึงขอบาย
Kinabalu Park
จากความฝันที่อยากไปพิชิตยอดเขาคินาบาลูสักครั้ง แม้ว่าครั้งนี้ไม่ได้ไปเดินแต่ขอแค่ตื่นมาเห็นยอดเขาก็สบายใจละ ฮ่า การเดินทางไป Kinabalu Park จากตัวเมืองใช้เวลาเกือบๆ 3 ชั่วโมงเลยนะ หลับไปหลายตื่น ลืมตาขึ้นมาสองข้างทางคือดี
ไปถึงแล้วแนะนำให้ไปจิบชา ทานขนมอร่อยๆ ที่ Liwagu Restaurant กันก่อน บรรยากาศน่ารักมากกก
ขนมถูกปากคนไทยแน่นอน มีปอเปี๊ยะ เม็ดขนุนชุบแป้งทอด (อร่อยมากกกก) และอีกหลายอย่าง
สำหรับบ้านพักมีหลายแบบ หลายโซน ห่างกันมากแบบต้องขับรถไป เป็นที่พักเครือเดียวกับบนเกาะ Manukan คือ Sutera Sanctuary Lodges
มีบ้านพักหลายหลัง ส่วนใหญ่จะรองรับเป็นกรุ๊ปที่มาค้างเพื่อจะ Treking นั่นเองค่ะ ได้แก่
Hill Lodge ราคา 1,400RM จำนวน 10 หลัง
Liwagu Suite ราคา 1,320RM จำนวน 4 หลัง
Nepenthes Villa ราคา 1,920RM จำนวน 2 หลัง
Nepenthes Suite ราคา 1,400RM จำนวน 12 หลัง
Rajah Lodge ราคา 14,400RM จำนวน 1 หลัง
Kinabalu Lodge ราคา 7,200RM จำนวน 1 หลัง
Garden Lodge ราคา 4,800RM จำนวน 1 หลัง
Peak Lodge ราคา 2,400RM จำนวน 4 หลัง
Summit Lodge ราคา 4,800TM จำนวน 1 หลัง
นอกจากนั้นยังมีราคาแพคเก็จ 2 วัน 1 คืน หรือ 3 วัน 2 คืน
รายละเอียดเพิ่มเติม Facebook : https://www.facebook.com/suterasanctuary/
ซึ่งบ้านที่เราพักคือ Nepenthes Villa คือดีงามมาก ไปถึงมืดค่ำแล้วเอารูปห้องมาอวดก่อน คือสวยมากกก อากาศเย็นกลางคืนหนาวเลยค่ะ มีเตาผิงด้วยนะ
เป็นบ้านสองชั้นค่ะ
มี 2 ห้องนอน
อย่างที่บอกว่าบ้านพักมีหลายแบบ หลังนี้อยู่ตรงข้ามบ้านเราหลังใหญ่รองรับกรุ๊ปใหญ่สบายๆเลย
นี่เลยค่ะบ้านพักของเราเมื่อคืนนี้ เป็นแบบ Nepenthes Lodge มี 4 หลัง แบ่งเป็น 8 ยูนิต
เห็นยอดเขาได้จากหน้าบ้านเลยนะ
ทั้งอาหารเช้า และอาหารเย็นที่ Liwagu Restaurant คือดีมากกกก กลางคืนเราทานชาบูกันค่ะ
ส่วนมื้อเช้าจัดไว้อย่างน่ารัก ทั้งขนมปัง น้ำส้ม นม และเมนูหลักมีให้เลือก 6 อย่าง ได้แก่ Dim sum , Beef ball noodle soup , Banana waffle , French toast , American Breakfast และ Siamese – Styled fried noodle คือเมนูที่เราสั่งแนว ๆ ผัดไทย อร่อยดีนะ
Desa Cattle Farm
อีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องไปเช็คอินเลยนะ กับวิวสวยๆ ฉากหลังคือยอดเขาโคตาคินาบาลูก
หากเลือกได้แนะนำให้ไปวันธรรมดาจะดีกว่านะคะ เพราะเราไปวันหยุดคนเยอะมากกก สามารถเข้าไปเที่ยวได้ฟรี ไม่มีค่าบริการค่ะ
ที่นี่เลี้ยงวัวนมประมาณ 600 ตัว เราสามารถเดินไปชมฟาร์มได้นะคะ จะได้เห็นทั้งกระบวนการผลิตกว่าจะได้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายในร้าน
มีกิจกรรมป้อนนมวัว
และไอศกรีมแสนอร่อยที่ต้องเข้าแถวนานมากกกกว่าจะได้กิน
Gaya Street
เป็นย่านของกินหลากหลายมาก หนึ่งในนั้นที่ต้องไปชิมคือ “Tuaran Noodle”
ร้านนี้เลยค่ะ คนเยอะมาก ฮอตจริง อร่อยจริง
เลือกเลยค่ะ หลากหลายอย่าง ราคาเริ่มต้น 6RM ราคาสบายกระเป๋า แต่อย่าเพิ่งรีบร้อนสั่งเบิ้ลไปเลยนะ
จบทริปมาเลเซียที่บอกเลยว่าพาลูกไปแล้วสนุกมาก ไม่ได้ลำบากเลย ค่าใช้จ่ายไม่แพง โรงแรมดีๆ ก็แค่หลักพันต้นๆ หรือจะเช่ารถขับก็สนุกนะคะ
อย่าเพิ่งเชื่อเราต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเองนะ 🙂